google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

นนทบุรี หนุ่มนำคลิปร้องทนายดัง น้องชายถูกหมอศัลยกรรมขับเก๋งชนดับคดีไม่คืบ

นนทบุรี หนุ่มนำคลิปร้องทนายดัง น้องชายถูกหมอศัลยกรรมขับเก๋งชนดับคดีไม่คืบ

วันที่ 12 มีนาคม 2566 ที่สำนักงานทนายความคู่ใจ ถ.แจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายเอกรัฐ ปรีจินดา อายุ 39 ปี (พี่ชายผู้เสียชีวิต) นำหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดวันที่เกิดเหตุเดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับนายรณณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้ช่วยเหลือกรณี นายธนเดช กลิ่นรส หมอศัลยกรรมแห่งหนึ่ง ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น อัลติส สีขาว หมายเลขทะเบียน กง – 6448 พัทลุง เฉี่ยวชนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายวิทยา ปรีจินดา ยี่ห้อ ฮอนต้า เวฟ 100 สีแดงหมายเลขทะเบียน ขชร – 740 ตรัง ซึ่งเป็นน้องชายได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา เกรงว่าคดีจะไม่คืบหน้าเนื่องจากน้องชายของผู้ขับขี่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีญาติทำงานอยู่ในกระทรวงธารณสุข เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดบริเวณตรงข้ามหน้าโรงเรียนเพาะปัญญา ถ.ตรัง-พัทลุง ตำบลนาโยงใต้ อ.เมือง จ.ตรัง เวลาประมาณ 20.24 น.แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองตรัง
นายเอกรัฐ (พี่ชายผู้เสียชีวิต) กล่าวว่า ตนอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ ส่วนน้องชายอายุ 33 ปี อาชีพผู้รับเหมาไฟฟ้า อาศัยอยู่ที่ จ.ตรัง คืนวันเกิดเหตุวันที่ 26 ธ.ค. 65 ลูกของน้องชายป่วย จึงขี่รถ จยย.ออกไปซื้อยาประมาณ 20.00 น. และเกิดเหตุถูกรถชนตอน 20.24 น. จุดเกิดเหตุห่างจากบ้านไม่ถึง 1 กิโลเมตร หลังเกิดเหตุตนได้ไปขอดูกล้องวงจรปิดด้วยตัวเอง ซึ่งตนถามคู่กรณีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งได้คำตอบกลับมาว่ามองไม่เห็น เขาก้มหยิบโทรศัพท์มือถืออยู่ทำให้ชนท้ายรถ จยย.ของน้องชายตน ซึ่งดูจากกล้องวงจรปิดน้องตนขี่รถคู่ไปกับมอเตอร์ไซค์อีกคันและแซงขึ้นไป ก่อนที่รถคู่กรณีจะเข้ามาชนจากอีกเลน ดูจากกล้องไม่ได้มีการตัดหน้า หรือรถน้องชายตนออกมาจากจุดอับ รถน้องชายมีไฟท้าย และถนนมีแสงสว่างชัดเจน ซึ่งจะมาบอกว่ามองไม่เห็นเป็นไปไม่ได้เลย รถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้เสียหายเยอะ แต่จากจุดชนรถไถลห่างไปอีกประมาณ 20 เมตร น้องชายกระเด็นไปตรงเกาะกลางและหัวกระแทกพื้นอาการสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งตรงนั้นเป็นหน้าโรงเรียน ไม่ควรขับเร็วเพราะตามกฎหมายต้องไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะเดียวกันงานศพของน้องชาย ตั้งสวดพระอภิธรรมตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 65 – 12 ม.ค. 66 มีเพียงแม่ของคู่กรณีเท่านั้นที่มาร่วมงานศพ แต่คนชนไม่เคยเข้ามาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตนทราบว่าคนที่ขับรถชนน้องชายเป็นหมอ อายุประมาณ 35 ปี คืนวันเกิดเหตุ ครอบครัวคู่ของกรณีจ่ายเงินเยียวยามาให้ครั้งแรก 5,000 บาท และจ่ายอีก 50,000 บาท วันที่ทำศพ ครอบครัวของตนได้นัดเจรจาถึง 2 ครั้ง แต่ทางคนชนไม่ได้เสนอความรับผิดชอบอะไรอีกเลย เขาบอกให้ทางตนคำนวณค่าเสียหาย ซึ่งน้องตนเป็นผู้รับเหมามีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท คำนวณแล้วถึงน้องชายอายุ 60 ปี รวมแล้วประมาณ 6 ล้านบาท เขาก็รับไปพิจารณา แต่พอมาเจรจาอีกรอบคนชนบอกว่าไม่รับผิดชอบถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา ญาติตนติดต่อไปเจรจาทางคนชนก็ไม่ยอมคุย ตนคิดว่าเขาเป็นหมอ มีน้องชายเป็นตำรวจ

ส่วนพ่อทำงานในกระทรวงสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งเรื่องผ่านไปนานกว่า 3 เดือนแล้วคดียังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด รถคนชนไม่มีประกัน มีแต่พรบ.จ่าย 500,000 บาท นอกจากนี้คนชนไม่เคยเจรจาอะไรอีกเลย ไม่คุยต่อ บอกแต่ว่าอยากได้ให้ไปฟ้องศาลเอา ศาลตัดสินเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น ตำรวจเรียกแล้วแต่ได้คำตอบว่าคนชนไม่ยอมปั๊มรายนิ้วมือ และเซ็นต์รับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งน้องชายตนมีลูก มีค่าใช้จ่ายทุกวัน ถ้ายื้อไปเรื่อยๆภาระต้องตกไปที่ภรรยาของน้องชายและพ่อแม่ตน ตนจึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับทนายรณณรงค์ในวันนี้เพื่อให้คดีมีความคืบหน้า
ทางด้านทนายรณณรงค์ กล่าวว่า กรณีหมอศัลยกรรมที่ จ.ตรัง ขับรถชนน้องชายเขาตายและไม่รับผิดชอบ ไม่มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งขัดกับระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้ไม่ปกติ วรรณะของหมอในต่างจังหวัดถือว่าใหญ่ ไม่ธรรมดา รู้จักไปหมด ผู้เสียหายกลัวว่าคดีนี้จะมีการวิ่งเต้น วันนี้เลยมาขอความเป็นธรรมที่กรุงเทพมหานคร ให้พี่น้องสื่อมวลชน ช่วยนำเสนอเรื่องราวของเขา เรื่องนี้เกิดในพื้นที่ จ.ตรัง ทางครอบครัวจะต้องไปยื่นเรื่องที่จังหวัดตรัง แต่แนะนำให้ไปที่ สตช. เพราะคดีมันช้า วิงวอนไปถึงคู่กรณีอาชีพการงานดี เค้าเรียกไป 6,000,000 บาทเราไม่มีจ่ายเป็นก้อน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รับผิดชอบเลย เพราะทางเขาเกิดการสูญเสียมีผู้เสียชีวิต ควรที่จะหันกลับไปรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

สาโรจน์ สว่างศรี / นนทบุรี

นนทบุรี ผู้เสียหายถูกดอกสว่าน พร้อมทนายรณรงค์ ร้อง สธ.ตั้งกรรมการสอบ แพทย์

นนทบุรี ผู้เสียหายถูกดอกสว่าน พร้อมทนายรณรงค์ ร้อง สธ.ตั้งกรรมการสอบ แพทย์

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 มีนาคม 2566 ที่กระทรวงสาธารณสุข นางจันทรา อายุ 57 ปี ลูกชาย และญาติ พร้อม ทนายรณณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เดินทางมายื่นหนังสือถึงดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อขอให้ตั้งกรรมการสอบสวน กรณีที่ นางจันทรา เข้ารับการรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณขา ที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.สระบุรี ต่อมาเกิดการติดเชื้อ จากการลืมอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นดอกสว่าน ยาวประมาณ 1 นิ้ว ไว้ในขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บ

นางจันทรา กล่าวว่า เมื่อปี 2559 ตนเองประสบอุบัติเหตุ ทำให้ต้องใส่เหล็กดามขา 7 เส้น โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.สระบุรี ( รักษาโรงพยาบาลที่แรก) หลังเข้ารับการผ่าตัด มีอาการปวดบริเวณที่ผ่าและเกิดการบวมแดง จึงรักษาเข้ารับการรักษาที่ รพ.ค่ายอดิศร ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ( รักษาเป็น รพ.ที่ 2) แพทย์ตรวจวินิจัยโดยลงความเห็นว่า กระดูขวาอักเสบ และพยายามรักษาอยู่นานหลายปี จึงมีการส่งตัวมายัง รับการตรวจรักษาที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า ซึ่งหลังมีการตรวจ แพทย์ระบุ มีเหล็กฝังในกระดูกขาขวา มีอาการเจ็บขา และวินิจฉัย ว่าอุปกรณ์ติดตั้งเดิมขาขวาสร้างความระคายเคือง จึงต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อนำอุปกรณ์ออก เมื่อวันที่ 8-10 พ.ย. 2565 ต่อมาในช่วงเดือน มกราคม ก็ยังพบมีอาการติดเชื้อและบวมแดงอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งเข้ารับการตรวจรักษาต่อเนื่องที่ รพ.พระมงกุฏ จนอาการเริ่มหายดีขึ้นในเดือน มีนาคม และตัดสินใจเข้าร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรมและเยียวยาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สาโรจน์ สว่างศรี / นนทบุรี

นนทบุรี แม่ร้องลูกชายชั้น ม.3 พิการสมาธิสั้น ถูกเด็กนักเรียนมัธยมโรงเรียนชื่อดัง พาพวกรุมตื๊บม้ามฉีก ก่อนชักอาวุธปืนตบหน้าเบ้าตาบวม

นนทบุรี แม่ร้องลูกชายชั้น ม.3 พิการสมาธิสั้น ถูกเด็กนักเรียนมัธยมโรงเรียนชื่อดัง พาพวกรุมตื๊บม้ามฉีก ก่อนชักอาวุธปืนตบหน้าเบ้าตาบวม

เมื่อเวลา 18.00 น วันที่ 23 มกราคม 66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนขอความเป็นธรรมจาก นางสาวณัฐกาญจน์ หรือทราย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี แม่ค้าขายข้าวหมกไก่ภายในซอยสามัคคี ต.ท่าทราย อ. เมือง จ. นนทบุรี ว่าบุตรชายซึ่งเป็นนักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนชลประทานวิทยา และเป็นเด็กพิการสมาธิสั้น ได้ถูกกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมโรงเรียนโพธินิมิตรวิทยา ภายในซอยวัดกู้ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ดจ.นนทบุรี รุมทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ม้ามฉีก เบ้าตาขวา ถูกด้ามปืนตีจนบวมเป่ง เกรงคดีจะไม่มีความคืบหน้าจึงร้องเรียนผู้สื่อข่าวเพื่อขอความเป็นธรรม
นายกร (ขอสงวนชื่อจริงและนามสกุลจริง) อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าเมื่อวันที่ 17 มกราคม 66 ที่ผ่านมาเวลา 16.00 น. ตนเองได้นัดแฟนสาวซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนโพธินิมิตร วิทยาคม ให้ออกมาเดินเที่ยวบริเวณริมเขื่อนท่าน้ำหัวถนนปากเกร็ด พอถึงเวลาตนพร้อมด้วยเพื่อนนักเรียนชาย 2-3 คน จึงได้เดินทางไปที่จุดนัดพบระหว่างที่เดินเที่ยวกับแฟนสาวและเพื่อนๆได้ มีกลุ่มวัยรุ่น 6 คนแต่งชุดไปรเวท ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนทราบแต่เพียงว่าในกลุ่ม 4 คน เป็นนักเรียนโรงเรียนโพธินิมิตรวิทยาคม ส่วนอีก 2 คนเป็นรุ่นพี่ที่จบออกไปแล้ว
โดยวัยรุ่นทั้ง 6 คนได้เดินตรงเข้ามาหาตนเองพร้อมทั้งสอบถามว่ามาทำอะไรที่นี่เหรอตนบอกว่ามาเดินเที่ยวหนึ่งในวัยรุ่นจึงตะโกนใส่ตนว่า “มึงโจ๋หรือ” จากนั้นทั้งหมดก็ลากตนเองไปที่ศาลาริมน้ำหัวถนนปากเกร็ด โดยมีวัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่ม ชักปืนแบบแม็กกาซีนสีเงิน ปลดแม็กโชว์ลูกกระสุนปืนให้ตนเองดูว่าเป็นของจริง ก่อน บรรจุแม็กใส่เข้าไปใหม่ แล้วใช้ด้ามปืนตบเข้าไปที่เบ้าตาขวาตนเองอย่างแรงโดยมีเพื่อนๆที่เหลือช่วยกันรุมทำร้ายและกระทืบตนเองอย่างหนำใจ
ต่อมาทั้ง 6 คนได้พาตนซ้อนจักรยานยนต์ไปที่หมู่บ้านเอื้ออาทร 2 (วัดกู้)ไปที่อาคารหรือตึกไหนตนเองจำไม่ได้เพราะตอนนั้นอยู่ในสภาพที่แทบจะสลบไสลไม่ได้สติแล้วมีอาการปวดหัวมึนงงไปหมด ทราบแต่เพียงเป็นลานจอดรถจยย. ที่ตึกแห่งหนึ่ง ถูกคุมตัวไว้ที่นี่นานกว่า 1 ชั่วโมงจนคุณพ่อของตนเองทราบเรื่องจึงได้รีบมารับตัวตนเอง

และพาไปส่งโรงพยาบาล ส่วนวัยรุ่นที่ทำร้ายตนพากันหลบหนีไป ตนก็ไม่เคยรู้จักพวกที่ทำร้ายตนเลยเพราะก่อนที่ตนจะถูกทำร้ายเพื่อนในกลุ่มของตนคนหนึ่งรู้จักกับกลุ่มของคนที่ทำร้าย ตนยังยกมือไหว้พวกเขาเลย แต่ก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดพวกเขาถึงมาทำร้ายตนจนเจ็บขนาดนี้ ก็อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวให้ได้จะได้นำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ด้วย
ขณะที่คุณแม่ทราย เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตนรู้สึกเสียใจมากลูกตนตนเองรักมากพอเห็นเขาถูกทำร้ายก็รู้สึกเสียใจโดยเฉพาะเขาเป็นเด็กนักเรียนพิการสมาธิสั้น เรียนอยู่แค่ชั้น ม.3 โรงเรียนชลประทานวิทยา อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีช่วยติดตามคนที่ทำร้ายลูกชายมาดำเนินคดีให้ด้วยเพราะเหตุการณ์ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วยังไม่มีความคืบหน้าใดๆเลย แม่เองก็ไม่ทราบว่าเขามาทำร้ายลูกทำไม แถมยังเอาปืนมาตบใส่ใบหน้าจนเบ้าตาบวมเป่ง ตำรวจก็ยังจับคนก่อเหตุไม่ได้ เกรงว่าจะไปทำร้ายคนอื่นแบบนี้อีก ตนก็ไม่เข้าใจหลังก่อเหตุรุมทำร้ายลูกตนเองแล้วทำไมต้องเอาตัวขึ้นรถจยย.ไปไว้ที่หมู่บ้านเอื้ออาทร 2 (วัดกู้) โชคดีที่คุณพ่อของน้องทราบจากเพื่อนๆจึงตามไปเจอลูกชายและนำตัวกลับมาได้ในสภาพสะบักสะบอม ถูกทำร้ายอย่างหนักต้องเข้านอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า นานกว่า 1 อาทิตย์ หมอบอกว่าถูกทำร้ายบาดเจ็บจนม้ามฉีก ส่วนเบ้าตาขวาบวมเปล่ง เพราะถูกด้ามปืนตบ ยืนยันจะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด

สาโรจน์ สว่างศรี / นนทบุรี

ทีมข่าวคู่แผ่นดิน และเครือข่าย ลงพื้นที่ตรวจสอบ โครงการประปาหมู่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลน้ำเฮี้ย อำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์เนื่องจากได้รับการร้องเรียน

วันที่ 5ตุลาคม 2565ทีมข่าวคู่แผ่นดิน และเครือข่าย ลงพื้นที่ตรวจสอบ โครงการประปาหมู่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลน้ำเฮี้ย อำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีการก่อสร้างระบบประปาโดยว่าจ้างผู้รับเหมามาทำการขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อวางระบบซัมเมอร์ส

และโครงสร้างประปาโครงเหล็กหอถังสูง 11.40 เมตรพร้อมด้วยถังไฟเบอร์กลาสอีก 4 ถัง จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ 2 ครั้งที่ผ่านมาได้ประสานไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลฝายนาแซงได้พบปะพูดคุยกับปลัด สตท. ยงยุทธ เกตุอินทร์ ซึ่งรับปากว่าจะดำเนินการเชื่อมต่อระบบเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำซึ่งเป็นระยะเวลา 2 เดือนผ่านมาชาวบ้านได้แจ้งว่ามีการเปลี่ยนปั๊มซัมเมอร์ส จาก 3 แรงเป็น 1.5 แรง

จึงเป็นสาเหตุได้ลงตรวจสอบพื้นที่อีกครั้ง จึงพบว่า ได้มีการวางระบบท่อ ต่อขึ้นไปที่แท็งค์น้ำ และไม่ได้เชื่อมต่อระบบน้ำให้กับชาวบ้าน เนื่องจากน้ำดันขึ้นไม่พอจากการสังเกตจะเห็นว่าข้อต่อมีการรั่ว จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านร้องเรียนกับสื่อมวลชน จากการสังเกตของผู้สื่อข่าวพบพิรุธหลายอย่างงานไม่เรียบร้อยแต่มีการส่งงานและเซ็นรับงาน ทั้งที่งานไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นเหตุให้ผู้สื่อข่าวและเครือข่ายจะต้องดำเนินการแจ้ง ปปช เพื่อเข้าไปตรวจสอบโครงการต่อไป

นครราชสีมา-ช่วยด้วย! ชาวนาโคราชร้องขอความเป็นธรรม ยื่นฟ้องกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำพลาด หลังน้ำท่วมหนักเสียหายกว่า 30 ล้าน

นครราชสีมา-ช่วยด้วย! ชาวนาโคราชร้องขอความเป็นธรรม ยื่นฟ้องกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำพลาด หลังน้ำท่วมหนักเสียหายกว่า 30 ล้าน

 

วันที่ 14 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลปกครองนครราชสีมา นายวีรวิทย์ เชื้อจันอัด อายุ 42 ปี เจ้าของฟาร์มแช่มชื่นโฮมสเตย์ ตำบลตาจั่น อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมชาวบ้านที่เดือนร้อน ซึ่งเป็นเกษตรกรในพื้นที่ อำเภอคง อำเภอพิมาย และ อำเภอโนนสูง จำนวน 11 ราย ได้มารวมตัวนัดฟ้องคดีและนำเอกสารหลักฐานภาพถ่ายยื่นฟ้องกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดี เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย กรณีกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ทำให้เกิดน้ำท่วมขังพื้นที่บ้านพักอาศัยและแปลงเกษตรกร ได้รับความเสียหาย รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท โดยถือป้ายข้อความระบุว่า “ขอความเป็นธรรมจากศาลปกครองให้ชาวนา จากความผิดพลาดในการจัดการน้ำของเขื่อนลำเชียงไกร โปรดช่วยเราด้วย” “โปรดช่วยเยียวยาด้วย รอมาเป็นปีแล้วแต่หายเงียบและเงียบหาย กรมชลประทานไม่รับผิดชอบ” โดยมีนายฉัตรชัย เอมราช ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 259-269/2565

 

นายวีรวิทย์ เชื้อจันอัด ชาวบ้านผู้เสียหาย เปิดเผยว่า พื้นที่แหล่งทำกินของผู้ฟ้องคดีตั้งอยู่นอกเขตประกาศแจ้งเตือนภัย เมื่อเกิดเหตุอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่าง อำเภอโนนไทย ทรุดเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำไหลทะลักท่วมฟาร์มปลาทับทิมขนาด 20 ตัน กุ้ง 5 ตัน รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องจักรกล บ้านเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ได้รับความเสียหาย สาเหตุเกิดจากการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดส่งผลให้ประชาชนที่มีที่บ้านและทำกินตั้งอยู่ท้ายอ่างได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประชาชนเป็นผู้เสียภาษีต้องสิ้นเนื้อประดาตัวมีภาระหนี้สินจำนวนมาก จึงต้องพึ่งศาลปกครองดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งยังมีผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่า 100 ราย ไม่กล้าออกมาต่อสู้และบางรายอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องเรียกร้องขอความเป็นธรรม ก่อนหน้านี้ตนและพวกได้พยายามเรียกร้องตามสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยกรมชลประทานได้บ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลีมาตลอด

 

นางจำรัส เข็มณรงค์ อายุ64ปี ชาวบ้าน ตำบลกระเบื้องใหญ่ อำเภอพิมาย เล่าว่า นาข้าว 21 ไร่ ของตนอยู่นอกเขตพื้นที่แจ้งเตือนภัยน้ำท่วม ตนเองจึงประสบปัญหาน้ำท่วมมา3ปี ล่าสุดกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ถูกมวลน้ำทำลายเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงเดือดร้อนมาก ก่อนหน้าที่ไม่กล้าออกมาร้องเรียน เพราะว่ากรมชลประทานเป็นของหน่วยงานรัฐ ชาวบ้านคงไม่มีปัญญาสู้ได้ แถมยังโดนหน่วยงานรัฐข่มขู่ถ้าออกมาร้องเรียนจะไม่ได้ค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ1000บาท ก็ต้องยอม เพราะดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่มาวันนี้ตนเองสุดจะทนมีทั้งรายจ่ายในครอบครัว และเงินที่ใช้ลงทุนในการทำนา ที่หน่วยงานที่เกี่ยวยังไม่มาดูแลผ่านมาเป็นปีแล้ว อยากจะฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเวลาฤดูแล้งก็ไม่ปล่อยน้ำมาช่วยชาวนา แต่พอฤดูกาลน้ำหลากก็ผลักดันน้ำลงในพื้นที่ของชาวนา จนได้รับผลกระทบ

 

ด้านนางสะอิ้ง คุณยายวัย89ปี ชาวบ้านที่เดือดร้อน เล่าว่า โดนน้ำท่วมมาแล้ว3ปีซ้อน หลังๆมาทำไม่ไหว จึงให้ลูกๆมาช่วยทำ เคยเจอน้ำท่วมมาหลายครั้ง แต่ไม่หนักเหมือนปี54 นาข้าวเสียหายทั้งหมด23ไร่ ได้รับการเยียวยาบางส่วนจากเกษตรแต่ยังไม่เพียงพอกับการซื้อปุ๋ยและเมล็ดพันธ์ข้าวที่จะทำนาในปีต่อไป จึงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลด้วย..

 

ภาพข่าว/อภิรักษ์ ศรีอัศวิน ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดนครราชสีมา

สาวเจ้าของร้าน”ก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก” ร้อง กมธ.แรงงานตำรวจ ขอความเป็นธรรม หลังถูกตร.ตม.จับลูกจ้างโดยไม่ชอบธรรม

สาวเจ้าของร้าน”ก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก” ร้อง กมธ.แรงงานตำรวจ ขอความเป็นธรรม หลังถูกตร.ตม.จับลูกจ้างโดยไม่ชอบธรรม

วันที่ 7 กันยายน 65 เวลา 11.00.น. รัฐสภา น.ส.กัญญาพัชร์ ขจรวงศ์วาณิช อายุ 37 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม กับ นายจีณัฎฐ์ สีชมพู ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง นายจิระภาคย์ เปรมพิริยธรณ์ ที่ปรึกษาประธานอนุกรรมาธิการตำรวจ รับเรื่องร้องเรียนตำรวจ และนายปริญญา จิตติเจษฎาภรณ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการตำรวจ และ ทนายความ ยื่นหนังสือร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรมกรณี ชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ตม.เข้าตรวจสอบร้านโดยไม่ได้แสดงบัตร แล้วตั้งข้อหา ว่าลูกจ้างมีที่พักไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ในบัตร เรียกค่าปรับหน้าร้านจำนวนคนละ 4,000 บาท ก่อนจะพาขึ้นรถตู้ ซึ่งทราบภายหลังว่า 3ใน 5คน เป็นตำรววจ ตม.จริง แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้มาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมและคุ้มครองตนในฐานะนายจ้างและลูกจ้างของตน

 

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น มีความหวังในชั้นอัยการและชั้นศาล ผู้เสียหายขอพูดให้ชัดๆ จะได้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อ และให้รู้ขั้นตอนการเอาผิดทางกฏหมายที่ละเอียดอ่อน เผยประวัติผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา พบมีผู้เสียหายอีกเพียบ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกร่วมลงทุนค้าเงินต่างประเทศ หรือเล่นหุ้นดาวโจนส์ แล้วสูญเสียเงินไปรวม 206 ล้านบาท

เริ่มต้นคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงจำนวน 2 คน มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและร้านขายยาชื่อดังในทั้ง อ.เมือง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อรอพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย คือ นางสาวอัจฉริยะญาณี หรือ นางกุ๊กไก่หรือเฟรช (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี, และ นายไชยเวทย์ หรือ นายเคน (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ที่เป็นสามีภรรยากัน นางกุ๊กไก่ หรือเฟรช อยู่บางกระปิ กรุงเทพ เป็นหมู่บ้านชื่อดังของกรุงเทพ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ซื้อไว้อยู่อาศัยในราคาหลังละหลายสิบล้านบาท (บ้านเดิมของ นางเฟรช เป็นชาว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ส่วนนายเคน บ้านเดิมเป็นชาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความสนิทสนมกับครอบครัวผู้เสียหาย จึงถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น) สองผัวเมียตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ฉ่อโกงทรัพย์ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารทางราชการปลอม และ คดีสมคบโดยการตกลงกันสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565

ผู้ต้องหาสองผัวเมีย เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 ในลักษณะให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น ซื้อหุ้น แล้วปลอมแปลงเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหาย อ้างว่าเงินเข้าสมุดบัญชีแล้ว โดยทำบัญชีและทำสเตทเม้นปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเหยื่ออ้างว่า เงินที่เล่นหุ้นเข้าบัญชีจำนวนมาก นำมาโชว์ให้ดู และยังอ้างดำเนินการเสียภาษีที่ดิน ให้ผู้เสียหายนำโฉนดที่ดินส่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ปลอมแปลงเอกสารการเสียภาษีของสรรพากร แล้วมาเรียกรับเงินเหยื่อ เป็นต้น

พนักงานสอบสวนในคดีคือ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 สิงหาคม วันแรกที่ตกเป็นข่าว เจ้าหน้าที่นัดผู้ต้องหาสองผัวเมียมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองกำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ จณะเดียวกัน ผู้เสียหายก็ต้องการพบตัวผู้ต้องหา เพื่อจะได้พูดคุยให้ชดใช้เงินที่หลอกไป แต่ผู้ต้องหาผัวเมียทั้งคู่ให้ทนายมาดูที่ประตูทางเข้า สนง.กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ก่อน พอเห็นว่า มีคู่กรณีและสื่อมวลชนรอทำข่าว ก็ขับรถออกไป ต่อมาผู้ต้องหาสองผัวเมียและทนายความ ได้แจ้งกับตำรวจว่า จะมอบตัวที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ได้นำเอกสารไปให้ผู้ต้องหาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา

ผู้เสียหายที่รอพบก็ไม่ได้พบ จึงเข้าพบกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งถึงความเดือดร้อนและขอคำแนะนำการคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถาม แจ้งตำรวจหรือไม่ว่า ต้องการคัดค้านการประกันตัว ผู้เสียหายบอก แจ้งตลอด และติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีตลอดมา

ต่อมาตำรวจนัดผู้ต้องหาสองผัวเมีย ให้มารายงานตัวในวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในคดีความผิดดังกล่าว และจะส่งผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ แต่ผู้ต้องหาไม่ไปโรงพัก สภ.ฝาง ได้ส่งเพียงทนายมาเลื่อนการมอบตัวไปเป็นวันอื่น

ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2565 ตำรวจจะออกหมายจับสองผัวเมีย หากไม่มามอบตัวก่อนเที่ยงวัน ของวันที่ 2 กันยายน 2565 แต่ช่วงสายของวันเดียวกัน ผู้ต้องหาสองผัวเมียเดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจได้นำสำนวนและตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งให้สำนักงานอัยการฝาง แล้วปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาเดินทางออกจากสำนักงานอัยการจังหวัดฝางในสายของวันเดียวกันทันที

ผู้สื่อข่าวถามผู้เสียหายว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพื่อจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนที่โรงพักฝาง และในชั้นอัยการด้วยนั้น ผู้เสียหายบอกว่า ในเช้าวันที่ 2 กันยายน โทรไปหาตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้งแต่ไม่รับสายเลย จนกระทั้งตนเดินทางมาที่อัยการจังหวัดฝาง เมื่อเวลา 11.30 น.ก็ทราบว่า ผู้ต้องหาสองผัวเมีย ได้มามอบตัวและเดินทางออกไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าไปที่สำนักงานอัยการแล้ว

ผู้สื่อข่าวถาม ผู้เสียหายแจ้งคัดค้านการประกันตัวทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหาย บอกว่า แจ้งเรื่องคัดค้านการประกันตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เพื่อให้ทางสำนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ทราบว่า วงเงินความเสียหายของตน จำนวนมากถึง 206 ล้าน เตรียมเอกสารต่างๆไว้จำนวนมาก พร้อมหนังสือคัดค้านการประกันตัว เพื่อจะขอคัดค้านการประกันตัวไว้ก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า จะต้องรอผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาก่อนถึงจะยื่นหนังสือได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาไม่ทันในช่วงผู้ต้องหามามอบตัวในชั้นอัยการและไม่พบผู้ต้องหาแล้วนั้น ก็ยื่นหนังสือคำร้องส่งให้ทางสำนักงานอัยการไปตามขั้นตอนแล้ว เพื่อให้ทางอัยการจังหวัดฝางได้ตรวจสำนวนในคดีก่อน ทางเราผู้เสียหายจะรอ จะติดตาม จนกว่าจะส่งฟ้องศาลจังหวัดฝางก็จะคัดค้านการประกันตัวต่อไป

ผู้เสียหาย บอกอีกว่า “ช่วงที่ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวที่อัยการแล้วไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหามาในลักษณะไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ไม่ฝากขังผู้ต้องหามาก่อนเลย ส่งผู้ต้องหามาในลักษณะ “ทราบนัดมา” เมื่อนำตัวส่งสำนักงานอัยการจังหวัดฝาง ผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องประกันตัวออกไปได้

ผู้สื่อข่าวถาม เป็นห่วงและติดใจอะไรอีกหรือไม่ ผู้เสียหาย บอกว่า ตั้งแต่มีการแจ้งความเอาผิดสองผัวเมียที่หลอกตน ที่แจ้งความไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ก็นานหลายเดือน จนกระทั้งเริ่มเป็นข่าววันที่ 31 สิงหาคม 2565 ก็ติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีได้ตลอด ให้ข้อมูลหลักฐาน และประสานเรื่องความคืบหน้าในคดี แต่การดำเนินงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ยอมรับว่า มีความละเอียดอ่อน จนบางครั้งไม่เข้าใจว่า บางเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแบบเรา เสียเงินไปมากถึง 206 ล้านบาท ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเป็นห่วงว่าผู้กระทำความผิดทั้งสองจะเอาทรัพย์สินและเงินทองของเราไปแล้วจะโยกย้ายทรัพย์สินไปที่อื่นนั้น ซึ่งขั้นตอนต่างๆทำได้ไม่ง่ายเลย

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า “เขาฉ้อโกงเงินของเรา เอาเงินเราไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรู เที่ยวต่างประเทศครั้งละ 5-6 ล้านบาท เท่าที่ติดตามในเฟซบุ๊ก เขามีความสุข ในขณะที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขาย เก็บเงินเก็บทองสะสมไว้ เมื่อเขาหลอกเรา เอาเงินเราไป พอมีคดีความ ยังพบปัญหาต่างๆที่มีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่เราเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ทราบมาก่อน เช่น การที่เราแจ้งคัดค้านการประกันตัวมาตั้งแต่ต้น เพราะเงินที่เราเสียหายไปจำนวนมาก ผู้ต้องหาก็สามารถได้ประกันตัวไป แต่เมื่อมาถึงชั้นอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดหน้าที่ไปแล้ว ต่อไปทางตนและครอบครัว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวที่ส่งให้อัยการจังหวัดฝาง จะช่วยให้เราและครอบครัวมีความหวังมาก ก่อนที่มีการส่งฟ้องต่อศาล”

ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้าย และบอกอีกว่า กรณีของตน ต้องการให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ถูกหลอกถูกฉ่อโกง ก็ขอให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยจะได้เอาผิดคนที่ตั้งใจมาหลอกเขาทำอย่างไร และยังทราบอีกว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ถูกสองผัวเมียคู่นี้หลอกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งประวัติของผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังก่อเหตุแบบนี้อยู่.

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น มีความหวังในชั้นอัยการและชั้นศาล ผู้เสียหายขอพูดให้ชัดๆ จะได้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อ และให้รู้ขั้นตอนการเอาผิดทางกฏหมายที่ละเอียดอ่อน เผยประวัติผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา พบมีผู้เสียหายอีกเพียบ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกร่วมลงทุนค้าเงินต่างประเทศ หรือเล่นหุ้นดาวโจนส์ แล้วสูญเสียเงินไปรวม 206 ล้านบาท

เริ่มต้นคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงจำนวน 2 คน มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและร้านขายยาชื่อดังในทั้ง อ.เมือง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อรอพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย คือ นางสาวอัจฉริยะญาณี หรือ นางกุ๊กไก่หรือเฟรช (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี, และ นายไชยเวทย์ หรือ นายเคน (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ที่เป็นสามีภรรยากัน นางกุ๊กไก่ หรือเฟรช อยู่บางกระปิ กรุงเทพ เป็นหมู่บ้านชื่อดังของกรุงเทพ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ซื้อไว้อยู่อาศัยในราคาหลังละหลายสิบล้านบาท (บ้านเดิมของ นางเฟรช เป็นชาว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ส่วนนายเคน บ้านเดิมเป็นชาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความสนิทสนมกับครอบครัวผู้เสียหาย จึงถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น) สองผัวเมียตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ฉ่อโกงทรัพย์ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารทางราชการปลอม และ คดีสมคบโดยการตกลงกันสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565

ผู้ต้องหาสองผัวเมีย เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 ในลักษณะให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น ซื้อหุ้น แล้วปลอมแปลงเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหาย อ้างว่าเงินเข้าสมุดบัญชีแล้ว โดยทำบัญชีและทำสเตทเม้นปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเหยื่ออ้างว่า เงินที่เล่นหุ้นเข้าบัญชีจำนวนมาก นำมาโชว์ให้ดู และยังอ้างดำเนินการเสียภาษีที่ดิน ให้ผู้เสียหายนำโฉนดที่ดินส่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ปลอมแปลงเอกสารการเสียภาษีของสรรพากร แล้วมาเรียกรับเงินเหยื่อ เป็นต้น

พนักงานสอบสวนในคดีคือ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 สิงหาคม วันแรกที่ตกเป็นข่าว เจ้าหน้าที่นัดผู้ต้องหาสองผัวเมียมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองกำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ จณะเดียวกัน ผู้เสียหายก็ต้องการพบตัวผู้ต้องหา เพื่อจะได้พูดคุยให้ชดใช้เงินที่หลอกไป แต่ผู้ต้องหาผัวเมียทั้งคู่ให้ทนายมาดูที่ประตูทางเข้า สนง.กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ก่อน พอเห็นว่า มีคู่กรณีและสื่อมวลชนรอทำข่าว ก็ขับรถออกไป ต่อมาผู้ต้องหาสองผัวเมียและทนายความ ได้แจ้งกับตำรวจว่า จะมอบตัวที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ได้นำเอกสารไปให้ผู้ต้องหาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา

ผู้เสียหายที่รอพบก็ไม่ได้พบ จึงเข้าพบกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งถึงความเดือดร้อนและขอคำแนะนำการคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถาม แจ้งตำรวจหรือไม่ว่า ต้องการคัดค้านการประกันตัว ผู้เสียหายบอก แจ้งตลอด และติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีตลอดมา

ต่อมาตำรวจนัดผู้ต้องหาสองผัวเมีย ให้มารายงานตัวในวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในคดีความผิดดังกล่าว และจะส่งผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ แต่ผู้ต้องหาไม่ไปโรงพัก สภ.ฝาง ได้ส่งเพียงทนายมาเลื่อนการมอบตัวไปเป็นวันอื่น

ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2565 ตำรวจจะออกหมายจับสองผัวเมีย หากไม่มามอบตัวก่อนเที่ยงวัน ของวันที่ 2 กันยายน 2565 แต่ช่วงสายของวันเดียวกัน ผู้ต้องหาสองผัวเมียเดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจได้นำสำนวนและตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งให้สำนักงานอัยการฝาง แล้วปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาเดินทางออกจากสำนักงานอัยการจังหวัดฝางในสายของวันเดียวกันทันที

ผู้สื่อข่าวถามผู้เสียหายว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพื่อจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนที่โรงพักฝาง และในชั้นอัยการด้วยนั้น ผู้เสียหายบอกว่า ในเช้าวันที่ 2 กันยายน โทรไปหาตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้งแต่ไม่รับสายเลย จนกระทั้งตนเดินทางมาที่อัยการจังหวัดฝาง เมื่อเวลา 11.30 น.ก็ทราบว่า ผู้ต้องหาสองผัวเมีย ได้มามอบตัวและเดินทางออกไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าไปที่สำนักงานอัยการแล้ว

ผู้สื่อข่าวถาม ผู้เสียหายแจ้งคัดค้านการประกันตัวทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหาย บอกว่า แจ้งเรื่องคัดค้านการประกันตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เพื่อให้ทางสำนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ทราบว่า วงเงินความเสียหายของตน จำนวนมากถึง 206 ล้าน เตรียมเอกสารต่างๆไว้จำนวนมาก พร้อมหนังสือคัดค้านการประกันตัว เพื่อจะขอคัดค้านการประกันตัวไว้ก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า จะต้องรอผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาก่อนถึงจะยื่นหนังสือได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาไม่ทันในช่วงผู้ต้องหามามอบตัวในชั้นอัยการและไม่พบผู้ต้องหาแล้วนั้น ก็ยื่นหนังสือคำร้องส่งให้ทางสำนักงานอัยการไปตามขั้นตอนแล้ว เพื่อให้ทางอัยการจังหวัดฝางได้ตรวจสำนวนในคดีก่อน ทางเราผู้เสียหายจะรอ จะติดตาม จนกว่าจะส่งฟ้องศาลจังหวัดฝางก็จะคัดค้านการประกันตัวต่อไป

ผู้เสียหาย บอกอีกว่า “ช่วงที่ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวที่อัยการแล้วไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหามาในลักษณะไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ไม่ฝากขังผู้ต้องหามาก่อนเลย ส่งผู้ต้องหามาในลักษณะ “ทราบนัดมา” เมื่อนำตัวส่งสำนักงานอัยการจังหวัดฝาง ผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องประกันตัวออกไปได้

ผู้สื่อข่าวถาม เป็นห่วงและติดใจอะไรอีกหรือไม่ ผู้เสียหาย บอกว่า ตั้งแต่มีการแจ้งความเอาผิดสองผัวเมียที่หลอกตน ที่แจ้งความไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ก็นานหลายเดือน จนกระทั้งเริ่มเป็นข่าววันที่ 31 สิงหาคม 2565 ก็ติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีได้ตลอด ให้ข้อมูลหลักฐาน และประสานเรื่องความคืบหน้าในคดี แต่การดำเนินงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ยอมรับว่า มีความละเอียดอ่อน จนบางครั้งไม่เข้าใจว่า บางเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแบบเรา เสียเงินไปมากถึง 206 ล้านบาท ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเป็นห่วงว่าผู้กระทำความผิดทั้งสองจะเอาทรัพย์สินและเงินทองของเราไปแล้วจะโยกย้ายทรัพย์สินไปที่อื่นนั้น ซึ่งขั้นตอนต่างๆทำได้ไม่ง่ายเลย

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า “เขาฉ้อโกงเงินของเรา เอาเงินเราไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรู เที่ยวต่างประเทศครั้งละ 5-6 ล้านบาท เท่าที่ติดตามในเฟซบุ๊ก เขามีความสุข ในขณะที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขาย เก็บเงินเก็บทองสะสมไว้ เมื่อเขาหลอกเรา เอาเงินเราไป พอมีคดีความ ยังพบปัญหาต่างๆที่มีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่เราเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ทราบมาก่อน เช่น การที่เราแจ้งคัดค้านการประกันตัวมาตั้งแต่ต้น เพราะเงินที่เราเสียหายไปจำนวนมาก ผู้ต้องหาก็สามารถได้ประกันตัวไป แต่เมื่อมาถึงชั้นอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดหน้าที่ไปแล้ว ต่อไปทางตนและครอบครัว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวที่ส่งให้อัยการจังหวัดฝาง จะช่วยให้เราและครอบครัวมีความหวังมาก ก่อนที่มีการส่งฟ้องต่อศาล”

ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้าย และบอกอีกว่า กรณีของตน ต้องการให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ถูกหลอกถูกฉ่อโกง ก็ขอให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยจะได้เอาผิดคนที่ตั้งใจมาหลอกเขาทำอย่างไร และยังทราบอีกว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ถูกสองผัวเมียคู่นี้หลอกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งประวัติของผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังก่อเหตุแบบนี้อยู่.

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น มีความหวังในชั้นอัยการและชั้นศาล ผู้เสียหายขอพูดให้ชัดๆ จะได้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อ และให้รู้ขั้นตอนการเอาผิดทางกฏหมายที่ละเอียดอ่อน เผยประวัติผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา พบมีผู้เสียหายอีกเพียบ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกร่วมลงทุนค้าเงินต่างประเทศ หรือเล่นหุ้นดาวโจนส์ แล้วสูญเสียเงินไปรวม 206 ล้านบาท

เริ่มต้นคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงจำนวน 2 คน มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและร้านขายยาชื่อดังในทั้ง อ.เมือง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อรอพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย คือ นางสาวอัจฉริยะญาณี หรือ นางกุ๊กไก่หรือเฟรช (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี, และ นายไชยเวทย์ หรือ นายเคน (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ที่เป็นสามีภรรยากัน นางกุ๊กไก่ หรือเฟรช อยู่บางกระปิ กรุงเทพ เป็นหมู่บ้านชื่อดังของกรุงเทพ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ซื้อไว้อยู่อาศัยในราคาหลังละหลายสิบล้านบาท (บ้านเดิมของ นางเฟรช เป็นชาว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ส่วนนายเคน บ้านเดิมเป็นชาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความสนิทสนมกับครอบครัวผู้เสียหาย จึงถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น) สองผัวเมียตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ฉ่อโกงทรัพย์ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารทางราชการปลอม และ คดีสมคบโดยการตกลงกันสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565

ผู้ต้องหาสองผัวเมีย เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 ในลักษณะให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น ซื้อหุ้น แล้วปลอมแปลงเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหาย อ้างว่าเงินเข้าสมุดบัญชีแล้ว โดยทำบัญชีและทำสเตทเม้นปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเหยื่ออ้างว่า เงินที่เล่นหุ้นเข้าบัญชีจำนวนมาก นำมาโชว์ให้ดู และยังอ้างดำเนินการเสียภาษีที่ดิน ให้ผู้เสียหายนำโฉนดที่ดินส่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ปลอมแปลงเอกสารการเสียภาษีของสรรพากร แล้วมาเรียกรับเงินเหยื่อ เป็นต้น

พนักงานสอบสวนในคดีคือ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 สิงหาคม วันแรกที่ตกเป็นข่าว เจ้าหน้าที่นัดผู้ต้องหาสองผัวเมียมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองกำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ จณะเดียวกัน ผู้เสียหายก็ต้องการพบตัวผู้ต้องหา เพื่อจะได้พูดคุยให้ชดใช้เงินที่หลอกไป แต่ผู้ต้องหาผัวเมียทั้งคู่ให้ทนายมาดูที่ประตูทางเข้า สนง.กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ก่อน พอเห็นว่า มีคู่กรณีและสื่อมวลชนรอทำข่าว ก็ขับรถออกไป ต่อมาผู้ต้องหาสองผัวเมียและทนายความ ได้แจ้งกับตำรวจว่า จะมอบตัวที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ได้นำเอกสารไปให้ผู้ต้องหาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา

ผู้เสียหายที่รอพบก็ไม่ได้พบ จึงเข้าพบกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งถึงความเดือดร้อนและขอคำแนะนำการคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถาม แจ้งตำรวจหรือไม่ว่า ต้องการคัดค้านการประกันตัว ผู้เสียหายบอก แจ้งตลอด และติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีตลอดมา

ต่อมาตำรวจนัดผู้ต้องหาสองผัวเมีย ให้มารายงานตัวในวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในคดีความผิดดังกล่าว และจะส่งผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ แต่ผู้ต้องหาไม่ไปโรงพัก สภ.ฝาง ได้ส่งเพียงทนายมาเลื่อนการมอบตัวไปเป็นวันอื่น

ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2565 ตำรวจจะออกหมายจับสองผัวเมีย หากไม่มามอบตัวก่อนเที่ยงวัน ของวันที่ 2 กันยายน 2565 แต่ช่วงสายของวันเดียวกัน ผู้ต้องหาสองผัวเมียเดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจได้นำสำนวนและตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งให้สำนักงานอัยการฝาง แล้วปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาเดินทางออกจากสำนักงานอัยการจังหวัดฝางในสายของวันเดียวกันทันที

ผู้สื่อข่าวถามผู้เสียหายว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพื่อจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนที่โรงพักฝาง และในชั้นอัยการด้วยนั้น ผู้เสียหายบอกว่า ในเช้าวันที่ 2 กันยายน โทรไปหาตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้งแต่ไม่รับสายเลย จนกระทั้งตนเดินทางมาที่อัยการจังหวัดฝาง เมื่อเวลา 11.30 น.ก็ทราบว่า ผู้ต้องหาสองผัวเมีย ได้มามอบตัวและเดินทางออกไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าไปที่สำนักงานอัยการแล้ว

ผู้สื่อข่าวถาม ผู้เสียหายแจ้งคัดค้านการประกันตัวทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหาย บอกว่า แจ้งเรื่องคัดค้านการประกันตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เพื่อให้ทางสำนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ทราบว่า วงเงินความเสียหายของตน จำนวนมากถึง 206 ล้าน เตรียมเอกสารต่างๆไว้จำนวนมาก พร้อมหนังสือคัดค้านการประกันตัว เพื่อจะขอคัดค้านการประกันตัวไว้ก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า จะต้องรอผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาก่อนถึงจะยื่นหนังสือได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาไม่ทันในช่วงผู้ต้องหามามอบตัวในชั้นอัยการและไม่พบผู้ต้องหาแล้วนั้น ก็ยื่นหนังสือคำร้องส่งให้ทางสำนักงานอัยการไปตามขั้นตอนแล้ว เพื่อให้ทางอัยการจังหวัดฝางได้ตรวจสำนวนในคดีก่อน ทางเราผู้เสียหายจะรอ จะติดตาม จนกว่าจะส่งฟ้องศาลจังหวัดฝางก็จะคัดค้านการประกันตัวต่อไป

ผู้เสียหาย บอกอีกว่า “ช่วงที่ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวที่อัยการแล้วไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหามาในลักษณะไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ไม่ฝากขังผู้ต้องหามาก่อนเลย ส่งผู้ต้องหามาในลักษณะ “ทราบนัดมา” เมื่อนำตัวส่งสำนักงานอัยการจังหวัดฝาง ผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องประกันตัวออกไปได้

ผู้สื่อข่าวถาม เป็นห่วงและติดใจอะไรอีกหรือไม่ ผู้เสียหาย บอกว่า ตั้งแต่มีการแจ้งความเอาผิดสองผัวเมียที่หลอกตน ที่แจ้งความไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ก็นานหลายเดือน จนกระทั้งเริ่มเป็นข่าววันที่ 31 สิงหาคม 2565 ก็ติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีได้ตลอด ให้ข้อมูลหลักฐาน และประสานเรื่องความคืบหน้าในคดี แต่การดำเนินงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ยอมรับว่า มีความละเอียดอ่อน จนบางครั้งไม่เข้าใจว่า บางเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแบบเรา เสียเงินไปมากถึง 206 ล้านบาท ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเป็นห่วงว่าผู้กระทำความผิดทั้งสองจะเอาทรัพย์สินและเงินทองของเราไปแล้วจะโยกย้ายทรัพย์สินไปที่อื่นนั้น ซึ่งขั้นตอนต่างๆทำได้ไม่ง่ายเลย

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า “เขาฉ้อโกงเงินของเรา เอาเงินเราไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรู เที่ยวต่างประเทศครั้งละ 5-6 ล้านบาท เท่าที่ติดตามในเฟซบุ๊ก เขามีความสุข ในขณะที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขาย เก็บเงินเก็บทองสะสมไว้ เมื่อเขาหลอกเรา เอาเงินเราไป พอมีคดีความ ยังพบปัญหาต่างๆที่มีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่เราเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ทราบมาก่อน เช่น การที่เราแจ้งคัดค้านการประกันตัวมาตั้งแต่ต้น เพราะเงินที่เราเสียหายไปจำนวนมาก ผู้ต้องหาก็สามารถได้ประกันตัวไป แต่เมื่อมาถึงชั้นอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดหน้าที่ไปแล้ว ต่อไปทางตนและครอบครัว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวที่ส่งให้อัยการจังหวัดฝาง จะช่วยให้เราและครอบครัวมีความหวังมาก ก่อนที่มีการส่งฟ้องต่อศาล”

ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้าย และบอกอีกว่า กรณีของตน ต้องการให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ถูกหลอกถูกฉ่อโกง ก็ขอให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยจะได้เอาผิดคนที่ตั้งใจมาหลอกเขาทำอย่างไร และยังทราบอีกว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ถูกสองผัวเมียคู่นี้หลอกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งประวัติของผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังก่อเหตุแบบนี้อยู่.

สาวใหญ่ร้องประธานกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยเหลือลูกชายถูกเรียกค่าไถ่

สาวใหญ่ร้องประธานกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยเหลือลูกชายถูกเรียกค่าไถ่

เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 17 ส.ค.65 ณ จุดรับยื่นหนังสือ ชั้น 1 (โซนกลาง) อาคารรัฐสภา นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานโดยนายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการกรรมาธิการการแรงงาน และ นายปริญา จิตติเจษฎาภรณ์ ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการตำรวจ รับยื่นหนังสือจาก นางสาวบุญเรือน โคตตะ มารดาของนายศักดิ์ อังคะบุตร อายุ 24 ปี ลูกชาย เรื่อง ขอความช่วยเหลือบุตรชายถูกจับตัวที่ประเทศพม่าเพื่อเรียกค่าไถ่เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท

ฤทธิรณ ปัญญากาบ รายงาน

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com