google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

สระแก้ว สุดทน!! ถนนชำรุดนับ 10 ปี ไร้การเหลียวแล วอนหน่วยงานเร่งแก้ไข

เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๖ เวลา ๑๕.๐๐ น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.บุญสม ชัยปัญญา ซึ่งเป็นชาวบ้านอยู่แถวบริเวณใกล้เคียง ถนนเทศบาล 31 ติดทางผ่านรถไฟ ชุมชนเมืองย่อยที่ 5 บ้านเนินสมบูรณ์ อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พร้อมกับชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว ร้องเรียนสื่อ ว่ามีผู้ใช้รถใช้ถนนเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งถนนชำรุดนับ 10 ปีไม่มีหน่วยงานเข้ามาทำ ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อระยะวงกว้าง 10 เมตร

โดย น.ส.บุญสม ชัยปัญญา ซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้านได้เล่าว่า ถนนเส้นนี้พังชำรุดนับ 10 ปีและปัจจุบันยังไม่ได้รับการแก้ไขซ่อมแซม ตั้งแต่ลูกตัวเอง ยังเด็กเด็กจนตอนนี้ทำงานแล้ว ถนนยังเหมือนเดิม ทางถนนนี้มีคนเอาดินมากลบไว้ไม่รู้ว่าใคร แต่กลบไว้วันสองวันก็เหมือนเดิม กลัวเวลาชาวบ้านขับรถเข้าออกตอนกลางคืนจะเกิดอุบัติเหตุ วิงวอนหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวเร่งแก้ไขด่วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุอีกต่อไป

วงศกร ศรีสวัสดิ์ | ธนิดา ปองคุณปวรุตม์ ทีมข่าว/รายงาน

กาฬสินธุ์ แก๊งมอดไม้เหิมเกริมบุกตัดไม้พะยูงในโรงเรียนอีกแล้ว

แก๊งมอดไม้กาฬสินธุ์ เหิมเกริม!! บุกตัดไม้พะยูงในโรงเรียนอีกแล้ว ลงมือตี 4 ยิงข่มขวัญใส่อาสาสมัครหมู่บ้าน ที่พยายามเข้ามาปกป้อง ชาวกาฬสินธุ์สุดเดือด วอน “ผบ.ตร.” ส่งหน่วยเฉพาะกิจลงมาปราบปรามจริงจัง หลังแก๊งมอดไม้ บุกก่อเหตุเป็น ครั้งที่ 6ในรอบเดือน แบบไม่เกรงกลัวกฎหมายเลย

จากกรณีไม้พะยูงของกลาง 7 ท่อน มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท หายไปจากสำนักงานเทศบาลตำบลอิตื้อ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ อย่างไร้ร่องรอย เมื่อช่วงคืนวันที่ 5 ส.ค.66 ที่ผ่านมา การตรวจสอบมีบุคคลของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง 8 ราย และยังมีปัญหาการตัดไม้พะยูงในโรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ที่ให้นายหน้าเข้ามาตัดไม้พะยูงภายในโรงเรียนถึง 22 ต้น กับอีก 2 ตอ ราคา 153,000 บาท โดยเรื่องนี้ จังหวัดได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.- ส.ต.ง.-ป.ป.ท. เอาผิดทางวินัย แพ่ง อาญา ล่าสุด ป.ป.ช.ประจำ จ.กาฬสินธุ์ ตั้งคณะไต่สวนจัดชุดใหญ่ ตรวจสำนวนตำรวจ ส่วนชาวบ้านที่รักษ์ผืนป่าทยอยส่งหลักฐาน การประมูลไม้พะยูงตามโรงเรียนในเขต สพป.เขต 2 หลายแห่ง โดยปรากฏ ที่โรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี โรงเรียนหนองโนวิทยาคม อ.ห้วยเม็ก และที่โรงเรียนคุรุชนประสิทธิ์ศิลป์ ต.คำเหมือดแก้ว อ.ห้วยเม็ก ล่าสุดยังมีการนำหลักฐานกล้องวงจรปิดจับภาพชายฉกรรจ์ 7 คน เข้าไปเจาะดูแก่นไม้พะยูง ภายในโรงเรียนโคกกลางเหนือพิทยา อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 เวลา 04.35 น. พ.ต.ท.นาวี แก้วก่า สว.(สอบสวน) ทำหน้าที่ร้อยเวรสอบสวน สภ.ฆ้องชัย อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธ์ ได้รับแจ้งเหตุลักทรัพย์เป็นต้นไม้พะยูง ที่โรงเรียนบ้านโนนศิลาสว่างวิทย์ หมู่ที่ 1 ต.โนนศิลา อ.ฆ้องชัย จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ที่เกิดเหตุ พบ นางวารุณี สุดหล้า นายอำเภอฆ้องชัย นายอารมณ์ จารุทรัพย์สดใส ผอ.โรงเรียนโนนศิลาสว่างวิทย์ ด.ต.สาคร คูหาวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฆ้องชัย นายวิทยา เครือวรรณ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านที่ต่างพากันมุ่งดูอย่างด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ภายในโรงเรียนพบไม้พะยูงถูกตัด จำนวน 1 ต้น พบสายไฟฟ้า ขนาด 2X2.5 พร้อมปลั๊ก ยาว 25 เมตร จำนวน 1 เส้น สอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 เวลาประมาณ 04.10 น. ได้มีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน ขับรถปิดอัพยี่ห้อโตโยต้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้าไปตัดต้นไม้พะยูง จำนวน 1 ต้น ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงเรียนโนนศิลาสว่างวิทย์ แล้วตัดเอาส่วนที่เป็นลำต้นยาว 5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร นำขึ้นรถยนต์กระบะไม่ทราบยี่ห้อ ทะเบียน แล้วหลบหนีไป

นางวารุณี สุดหล้า นายอำเภอฆ้องชัย กล่าวว่า จากการสอบถามการกระทำนี้ถือว่าอุกอาจเป็นอย่างมาก เพราะแนวทางการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูง ทั่วทั้งจังหวัดตามคำสั่งการของ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กำชับให้ทุกฝ่ายตรวจสอบต้นไม้พะยูงและร่วมกันอนุรักษ์ เพราะข่าวการลักลอบตัดไม้พะยูงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการกระทำนี้ถือว่าไม่เกรงกลัวกฏหมาย พฤติกรรมของคนร้ายที่มากัน 5 คน ขับรถปิกอัพเข้ามา อาศัยจังหวะที่ภารโรงของโรงเรียนกลับบ้านไปนึ่งข้าวช่วงเวลาประมาณตีสี่ ก็บุกเข้ามาโดยสองคนจะเป็นคนตัดที่ใช้เลื่อยไฟฟ้า ส่วนอีกสองคนจะเป็นคนขนและมีคนถือปืน 1 คน ปรากฏหลักฐานมีการตัดแม่กุญแจห้องสวัสดิการ เข้าไปเพื่อต่อสายไฟ ต่อมาเมื่อต้นไม้ล้มชาวบ้านได้ยินเสียงจึงมาดูก็เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังตัดท่อนต้นไม้เป็นท่อนๆ และยกขึ้นรถและกำลังจะตัดอีกต้น โชคดีแจ้ง ตำรวจทัน จึงได้มีการยิงปืนขู่ไปที่คนร้าย ที่หวุดหวิดที่จะปะทะกัน ซึ่งคนร้ายก็ได้ไม้พะยูงไปจำนวน 1 ท่อน ยาวประมาณ 5 เมตร
“เหตุนี้ทุกคนทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งไม้พะยูงต้นใหญ่ชาวบ้านจะช่วยกันนำลวดหนามมาล้อมไว้ แต่ก็ถูกตัดไปได้ เพราะคนร้ายก็ตัดลวดหนามออกก่อนจึงลงมือใช้เลื่อยยนต์ตัด อีกทั้งก่อนหน้านี้โรงเรียน ชุมชน มีการจัดเวรยามเฝ้าแต่คนร้ายอาศัยจังหวะเผลอจึงได้ลักลอบเข้ามาตัด ทั้งนี้จากการสำรวจในโรงเรียน มีต้นไม้พะยูงต้นใหญ่ เหลืออยู่อีก 8 ต้น ต้นเล็ก 12 ต้น นับจากนี้ทุกคนจะร่วมกันเฝ้าจัดเวรยามป้องกันอย่างเต็มที่ ซึ่งก็จะรายงานไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อเพิ่มมาตรการณ์ป้องกันต่อไป”นายอำเภอฆ้องชัย กล่าวฯ

นางรพีพร จันทร์ยวง อายุ 52 ปี ชาวบ้านโนนศิลา กล่าวว่า เหตุนี้ถือว่ารุนแรงกลุ่มนายทุนต้องการที่จะเข้ามาตัดต้นไม้ให้ได้ การป้องกันจะทำอย่างเต็มที่ ถามว่ากลัวหรือไม่ยอมรับว่ากลัวแต่ทุกคนก็พร้อมที่จะปกป้องป่าไม้ของตนเอง ส่วนหนึ่งก็ขอความเห็นใจกลุ่มนายทุนอย่ามาตัดไม้พะยูงในโรงเรียนเลยเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชมเป็นร่มไม้ดีกว่า เพราะเป็นสิ่งที่หาได้ยากแล้วในอนาคตต่อไป อีกทั้งต้องการฝากถึงผู้มีอำนาจ ก็ต้องการให้ “ผบ.ตร.” ส่งหน่วยเฉพาะกิจของกองปราบฯ-ปทส.ลงมาปราบปรามจริงจังด้วย

ส่วนกรณีไม้พะยูงของกลาง 7 ท่อน หายไปจากสำนักงานเทศบาลตำบลอิตื้อ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ อย่างไร้ร่องรอย เมื่อช่วงคืนวันที่ 5 ส.ค.66 ที่ผ่านมา การตรวจสอบมีบุคคลของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง 8 ราย และยังมีปัญหาการตัดไม้พะยูงในโรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ที่ให้นายหน้าเข้ามาตัดไม้พะยูงภายในโรงเรียนถึง 22 ต้น กับอีก 2 ตอ ราคา 153,000 บาท โดยเรื่องนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนจาก ปปช.จ.กาฬสินธุ์ เกี่ยวกับการดำเนินการเอาผิด ได้รับแจ้งเพียงว่ากำลังตรวจสำนวนตำรวจ ส่วนกรณีหลักฐานการตัด ที่โรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี โรงเรียนหนองโนวิทยาคม อ.ห้วยเม็ก และที่โรงเรียนคุรุชนประสิทธิ์ศิลป์ ต.คำเหมือดแก้ว อ.ห้วยเม็ก จนล่าสุดมีการนำหลักฐานกล้องวงจรปิดจับภาพชายฉกรรจ์ 7 คน เข้าไปเจาะดูแก่นไม้พะยูง ภายในโรงเรียนโคกกลางเหนือพิทยา อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ผู้สื่อข่าวพยามติดต่อเพื่อขอทราบความคืบหน้าจาก ปปท.จ.ขอนแก่น ได้รับคำตอบว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว ไม่ขอให้สัมภาษณ์ อีกทั้งเจ้าของคดีพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ไปตามอีกคดีที่ภาคเหนือ และไม่สะดวกให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

สาวร้องทนายความ ขอความช่วยเหลือตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองพัทยา หลังถูกข่มขู่ยึดรถยนต์โดยมิชอบ

ทนายอนิรุจน์ คงทรัพย์ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายเป็นหญิง 2 คน ซึ่งเป็นป้ากับหลาน เพื่อให้ช่วยเหลือหลังไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยผู้เสียหาย เล่าว่า ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2559 ได้รู้จักกับชายชาวจีนคนหนึ่ง และได้ติดต่อคุยกันเรื่อยมาจนกระทั่งได้ตกลงคบหากันและมีบุตรด้วยกัน 1 คน และต่อมาได้เช่าขคอนโดมิเนียมอยู่ด้วยกัน ย่านหาดจอมเทียนค่าเช่าเดือนละ 18,000 บาท และชายชาวจีนคนดังกล่าวตกลงจะให้ค่าใช้ง่ายในการเลี้ยงดูบุตรเดือนละประมาณ 20,000-30,000 บาท โดยไม่ทราบว่ามีภรรยาอยู่แล้ว

ต่อมาช่วงต้นเดือนมกราคม 2563 ผู้เสียหายและชายชาวจีนได้มีการปรึกษากันในการที่จะซื้อรถยนต์เพื่อความสะดวกในการเดินทางเนื่องจากมีบุตร ชายชาวจีนได้ตกลงซื้อรถยนต์ขี่ห้อ เมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น อี350อี ทะเบียนเลขที่ 8กน333 1 กรุงเทพฯ ราคา 2,800,000 บาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา โดยซื้อขายในนามตัวเองและได้ชำระเงินดาวน์ไปจำนวน 7 แสนบาท และชายชาวจีนได้ช่วยออกเงินให้จำนวน 370,000 บาท ส่วนที่เหลือเป็นเงินที่เก็บสะสมไว้ ซึ่งจะผ่อนชำระงวดละ 36,770 บาท

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2563 ชายชาวจีนพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นภรรยากัน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเมืองพัทยาพร้อมกับพวกทั้งหมด 4 คน ได้บุกมาที่คอนโดมิเนียมที่พักอาศัย และถูกผู้หญิงคนดังกล่าวพูดจาข่มขู่ต่างๆนาๆ ทำให้เกิดความหวาดกลัว และได้หยิบเอากุญแจรถยนต์ไป โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ยินยอม และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 ผู้เสหายและป้าได้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองพัทยา ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์กับผู้หญิงคนดังกล่าวกับพวกโดยพนักงานสอบสวนมีคำสั่งฟ้อง แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโดยให้เหตุผลว่า “รถคันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของผู้กล่าวหาและผู้ต้องหา ต่างย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินดังกล่าว โดยลักษณะของตัวทรัพย์ไม่อาจแบ่งเเยกตัวทรัพย์ออก หรือกำหนดการครอบครองและใช้ประโยชน์เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งได้ การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงไม่เป็นการลักทรัพย์ตามข้อกล่าวหา คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง

 

จากนั้นวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยาในคดีหมายเลขคำที่ อ.827/65 ในข้อหาร่วมกันลักทรัพท์ ต่อมาศาลได้มีคำสั่งคดีมีมูล เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 และนัดสืบพยานโจทก์ จำเลย ในวันที่ 27-28-29 กุมภาพันธ์ 2567 การกระทำของผู้หญิงคนคังกล่าวกับพวก ทำให้ผู้เสียหายและป้าซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันรถยนต์ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากต้องผ่อนชำระค่างวดรถ และได้ถูกทวงถามค่างวดรถ ซึ่งเห็นว่าเมื่อคนดังกล่าวเป็นผู้นำรถยนต์ไปก็ต้องเป็นผู้ชำระค่างวดรถ แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ไม่ได้ชำระค่างวดรถแต่อย่างใด และไม่ได้นำรถไปคืนที่บริษัท ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

ต่อมา ธนาคารทิสโก้ ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ได้ยื่นฟ้องผู้เสียหายและป้า เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ข้อหาผิคสัญญาเช่าซื้อ/ค้ำประกัน ต่อศาลจังหวัดพัทยาเป็นคดีคำเลขที่ ผบE41 1/64 คดีแดงเลขที่ ผบE764/2564 โดยศาลพิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันชำระเงินรวมดอกเบี้ยที่คิดถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เป็นจำนวนประมาณ 2,183,600 บาท และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งหมายบังคับคดีมาที่บ้านเลขที่ 139/6 ม.9 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
ให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา หากไม่ชำระจะทำการยึดบ้านและทรัพย์สินออกขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก หากเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดบ้านซึ่งเป็นทรัพย์สินออกขายทอดตลาด ก็จะไม่มีที่อยู่อาศัย

ผู้เสียหายจึงเข้าพบทนายอนิรุจน์ คงทรัพย์ ที่สำนักงาน เพื่อขอความเป็นธรรม และตรวจสอบจริยธรรมของผู้หญิงคนดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเมืองพัทยาต่อสื่อมวลชนทั้งหลายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่ กับบุคคลซึ่งเป็นนักการเมือง ซึ่งหากเขาเป็นผู้นำรถยนต์กันดังกล่าวไปใช้ก็จะต้องชำระค่างวดรถให้แก่บริษัท ทิสโก้ แต่หากไม่สามารถชำระค่างวดรถได้ด้วยเหตุผลใด ก็จะต้องนำรถส่งคืนแก่บริษัทหรือนำรถยนต์มาคืนให้เพื่อที่จะได้ชำระค่างวดตามปกติ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น โดยผู้หญิงคนดังกล่าวมีตำแหน่ง เป็นสมาชิกสภาเมืองพัทยา เป็นตัวแทนของประชาชนรับอาสาเข้ามาทำงานเพื่อช่วยเหลือและดูแลประชาชน แต่กลับมีพฤติกรรมและการกระทำแบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ทำให้สังคมมองว่าข้าราชการการเมืองใช้ตำแหน่งหน้าที่มาข่มขู่หรือรังแกประชาชน จึงอยากขอให้สื่อมวลชนทั้งหลายช่วยตรวจสอบคุณธรรมและจริยธรรมด้วยว่าการกระทำดังกล่าวนี้สมควรที่จะเป็นข้าราชการการเมืองอยู่หรือไม่

อุทัยธานี พ่อค้าข้าวหลามแจ้งความหลังท้อใจเครียด นำรถไปจำนำ 20,000 บาท พอจะไปเอารถคืนรถหายจ้อย ติดต่อไม่ได้ ไม่มีรถบรรทุกขายข้าวหลาม

เมื่อเวลา 10.00.น.ของวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากพ่อค้าข้าวหลามรายหนึ่งชื่อนายดิน ศรีเมือง อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/6 หมู่ 1 บ้านดินแดน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี พร้อมกับนางวรัญญา อินทร์ประภิกดิ์ อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ ได้เข้าแจ้งความกับสภ.ลานสัก ให้ดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ในข้อหายักยออกทรัพย์ เนื่องจากทางนายดินได้นำรถยนต์ไปจำนำไว้ แล้วจะไปเอารถคืน แล้วไม่คืน อยู่ระหว่างเจ้าที่ทางร้อยเวรสอบสวร กำลังรวบรวมหลักฐานและข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการนำรถยนต์ไปจำนำให้กับบุคคลหนึ่ง

ล่าสุดทางด้านนายดิน ได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ ตนเองได้นำรถยนต์ของนางวรัญญา ซึ่งเป็นชื่อเจ้าของรถและเป็นญาติกัน นำรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไฮลักษ์รีโว่ สีเทา ทะเบียน8461 อุทัยธานี เพื่อมาบรรทุกให้ขายข้าวหลามขาย ต่อมานายดินได้เปิดเผยอีกว่าช่วงปลายเดือนมีนาคม 2566 ตนเองไม่มีตังค์ไปจ่ายค่างวดรถ จึงได้ติดต่อกับบุคคลดังกล่าวว่าขอให้เอารถตนเองไปจำนำไว้ในราคา 20,000 บาท โดยบุคคลดังกล่าวได้ตกลงพร้อมโอนเงินมาให้ 17,000 บาทพร้อมกับเอาตังค์มาให้ภายหลังอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 20,000 บาท โดยบุคคลดังกล่าวได้บอกกับนายดินว่ามีตังค์เมื่อไหร่ก็ให้มาเอาไป โดยไม่คิดดอกแต่อย่างใดตนเองได้เชื่อใจและเชื่อมั่น ต่อมาทางด้านบุคคลดังกล่าวได้ติดต่อกลับมาในเดือนกรกฎาคม 2566 ทวงถามถึงเรื่องรถที่มาจำนำ ว่าจะมีเงินมาเอารถเมือไร นายดินจึงติดต่อกลับไปว่ายังไม่มีเงินไปเอา เพราะยังหาเงินอยู่ พร้อมกับยังติดหนี้รถไฟแนนซ์อีกทาง จนต่อมาวันที่ 17 สิงหาคม 2566 ได้มีไฟแนนซ์มาทวงเงินค่าค้างชำระงวดรถดังกล่าว 3 เดือน กับนางวรัญา ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อรถเป็นจำนวนเงิน 26,000 กว่าบาท ต่อมาทางนางวรัญญา ก็ได้หาเงินไปจ่ายค่างวดรถที่ค้างชำระจนหมด เหลือเพียงแต่ตัวรถยนต์ที่นายดิน นำไปจำนำนั้นยังไม่ได้คืน โดยทางวรัญญา พยายามติดต่อกับบุคคลดังกล่าว โดยจะนำเงินทั้งหมด 20,000 บาท ไปจ่ายพร้อมกับตนเองจะให้ค่าเสียเวลากับบุคคลดังกล่าว อีก 5,000 บาท รวมเป็น 25,000 บาท แต่ถูกบุคคลดังกล่าวได้อ้างว่ารถไม่อยู่แล้ว หลังจากนั้นนายดินกับนางวรัญญา ก็ตกใจมาก เนื่องจากนั้นได้ทราบข่าวว่ารถยนต์ของตนเองไม่อยู่แล้ว จึงได้เข้าแจ้งความกับไว้เพื่อให้ดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้นางวรัญญา ซึ่งเป็นเจ้าของรถ ได้วิงวอน ขอให้บุคคลดังกล่าวที่รับจำนำรถไป ให้นำมาคืนด้วย เพราะตอนนี้ไม่มีรถบรรทุกข้าวหลามมาขาย เนื้องจากต้องใช้รถจยย.ซึ่งสร้างความลำบากมาก แต่หากทางบุคคลดังกล่าวได้นำรถสภาพคงเดิมมาคืนตามที่ตกลงไว้ ตนเองจะถอนแจ้งความ พร้อมกับนำเงินที่ได้ติดค่าจำรถไว้ให้กับบุคคลดังกล่าวเพื่อให้เรื่องจบต่อไป

สำเนา ทองศรี รายงาน

ปทุมธานี ชาวสามโคกติดป้ายกระตุ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหารถสิบล้อวิ่งถนนพังเกิดอุบัติเหตุบ่อย

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 สิงหาคม 2566 ที่บริเวณถนนปทุมธานี-สามโคก หน้าหมู่บ้านเบญจพร ต.สามโคก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ชาวบ้านทนไม่ไหวติดป้ายเตือนระบุข้อความว่า “อันตรายระวังพื้นต่างระดับ ด้วยความปรารถนาจากชาวหมู่บ้านเบญจพร” กว่า 10 ป้ายติดบริเวณเกาะกลางถนนเพื่อเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวังเพราะเกิดอุบัติเหตุบ่อย
เนื่องจากชาวบ้านรอการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ไหว เพื่อป้องกันการสูญเสียก่อน ไม่เงินก็ทรัพย์สินหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต ชาวหมู่บ้านเบญจพร อ.สามโคก จึงได้ขึ้นป้ายบริเวณเกาะกลางถนนของถนนปทุมธานี-สามโคก เพื่อให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระวังผิวทางต่างระดับ จากนั้น นางวิพร แววศรีผ่อง นายอำเภอสามโคก เมื่อทราบเรื่องร้องเรียนจึงได้ลงพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเพื่อรับทราบปัญหาของชาวบ้านพร้อมนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อก็ปัญหาให้ชาวบ้านอย่างเร่งด่วน 3 เรื่องร้องเรียน 1.รถบรรทุกวิ่งจนถนนชำรุด 2.เศษวัสดุหล่นถนน และ3.ไฟฟ้าส่องสว่างดับตลอดเส้นทางปทุมธานี-สามโคก

ด้านนางธนพรพรรณ สังข์ศรีแก้ว อายุ 59 ปี ประธานหมู่บ้านเบญจพร กล่าวว่า ถนนเป็นลูกคลื่นทำให้ประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง บ้านของตนเองอยู่ริมถนนได้เห็นว่ามีรถจักรยานยนต์ขับผ่านมาล้มแต่ยังโชคดีบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงแค่เป็นแผลถลอก หากรถที่ขับตามมาเบรกไม่ทันอาจจะเกิดโศกนาฏกรรม 2 วันที่ผ่านมานี้ก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้ม 3 รายแล้ว นอกจานี้รถยนต์ที่โหลดต่ำมาใต้ท้องรถยนต์กระแทกพื้นถนนที่เป็นลอนขึ้นมาเสียเงินค่าซ่อมรถยนต์ไป 8,000 บาท ชาวบ้านทนไม่ไว้จึงต้องทำป้ายขึ้นมาเพื่อเตือนผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ ถ้าคนที่ใช้ถนนทุกวันเขาก็จะระวัง แต่หากคนที่ไม่คุ้นเคยเส้นทางก็จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

ส่วนนายนิธาน ชื่นชนกพิบูล อาสามูลนิธิร่วมกตัญญู กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพถนนเป็นลอนที่เกิดจากรถขนาดใหญ่ เมื่อมีรถจักรยานยนต์ใช้เส้นทางมองไม่เห็นจนเกิดล้มได้รับบาดเจ็บเป็นประจำทุกวัน ยิ่งบริเวณหน้าหมู่บ้านเบญจพร อ.สามโคก จนถึงศูนย์รถยนต์นิสสัน บางรายบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากจุดอาสาฯอยู่บริเวณใกล้เคียงเราได้จอดรถรอเหตุประจำจุดเพื่อรับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุอยู่แล้ว ฝากประชาชนที่ใช้เส้นทางให้ระมัดระวังตั้งแต่เส้นทางต่างระดับสามโคกจนถึงแยกสันติสุข สภาพถนนชำรุดมากอันตราย สภาพถนนแย่สุดจะอยู่บริเวณตั้งแต่หมู่บ้านกฤษณา หมู่บ้านเบญจพร และศูนย์รถยนต์นิสสัน ถนนช่องในขวาอันตรายที่สุด ฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาดูแลพี่น้องประชาชนเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนมาก

ทางด้านนางวิพร แววศรีผ่อง นายอำเภอสามโคก กล่าวว่า เนื่องจากมีผู้นำท้องถิ่นและตัวแทนชาวบ้านได้ร้องเรียนผ่านอำเภอสามโคก เนื่องจากสภาพถนนที่เป็นลูกคลื่น ไม่เรียบ มักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์มอเตอร์ไซค์ เมื่อทราบเรื่องจึงได้ลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านถึงข้อเท็จจริง พบว่ามีรถมอเตอร์ไซค์ล้มวันละ 3-4 คัน ในวันศุกร์ที่ 11 นี้จะประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา เบื้องต้นที่รับฟังจากชาวบ้านใกล้เคียง ทราบว่าสาเหตุเกิดจากรถบรรทุกรถสิบล้อ รถพ่วงที่ใช้เส้นทาง และมักจะวิ่งในช่องทางเลนขวาตลอดเลย คาดว่าจะบรรทุกเกินน้ำหนักด้วย หลายคันพบว่าไม่มีวัสดุคลุมท้ายบรรทุกทำให้เศษดินและทรายร่วงหล่นพื้นพื้นถนนทำให้เกิดปัญหา ยิ่งช่วงฝนตกผู้ใช้รถมอเตอร์ไซด์ขับมาจะลื่นล้มเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การแก้ไขในเบื้องต้นอยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับขนส่งจังหวัดเข้มงวดในการกำหนดระยะเวลาในการวิ่งของรถบรรทุกเพราะว่าเรามีความห่วงใยประชาชนโดยเฉพาะเด็กนักเรียน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของไฟฟ้าส่องสว่างที่มีชาวบ้านได้ร้องเรียนมา ตั้งแต่เส้นปทุมธานี สามโคก จนถึงอำเภอบางไทรมือดตลอดเส้นทาง จนเกิดอุบัติเหตุบ่อยมีผู้เสียชีวิตแล้วด้วย.
หมายเหตุ คลิปหน้ารถกู้ภัยจาก นายนิธาน ชื่นชนกพิบูล อาสามูลนิธิร่วมกตัญญู

สญชัย คล้ายแก้ว/รายงาน

มุกดาหาร ชาวบ้านกว่า 100 คนถือป้ายมาที่หน้าศาลากลางให้ยกเลิกกังหันลม

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 เวลา 10.30 น. ที่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร นายอดิศักดิ์ ตุ้มอ่อน ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย พร้อมด้วยชาวบ้านโนนคำกว่า 100 คน ตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร และได้ถือป้ายผ้าที่มีข้อความจำนวนหลายป้าย เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร สั่งยกเลิกใบอนุญาตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหมูแปลง 2 เพื่อดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ของบริษัท ๕๕๕ กรีนเอ็นเนอร์จี้ จำกัด เพราะพื้นที่โครงการได้ทับที่ดินทำกินทั้งที่อยู่ในและนอกพื้นที่พิพาทที่กำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหาจากนโยบายทวงคืนผืนป่า

ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. ที่ชั้น 5 ห้องประชุมมโนรมย์ นายบุญเรือง เมฆฉิม รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธาน นายวิมล อึ้งพรหมบัญฑิต ผอ.ทสจ.มุกดาหาร นายชลวิทย์ นามจันทรา นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ พร้อมด้วยกลุ่มชาวบ้าน ได้หารือข้อยุติและหาทางออกให้กับกลุ่มชาวบ้านที่ได้ผลกระทบโดยทาง นายวิมล อึ้งพรหมบัญฑิต ผอ.ทสจ.มุกดาหาร ได้กล่าวกับกลุ่มชาวบ้านว่า ทางกรมป่าไม้ได้มีหนังสือมาที่จังหวัดมุกดาหาร และทางผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบใหม่โยมีคณะกรรมการ 3 ฝ่าย แต่ทางท่าน ผวจ. ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายฝ่ายเพื่อตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดเริ่มต้นใหม่ว่ามีข้อผิดพลาดตรงใหนบ้าง และมาแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนเรื่องให้ทางจังหวัดยกเลิกใบอนุญาตนั้น ทางจังหวัดไม่มีอำนาจ และจะได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้ทางกรมป่าไม้เพื่อพิจารณาต่อไป

ล่าสุด ผอ.ทสจ.มุกดาหาร มีข้อสรุปในที่ประชุมว่า มีชาวบ้านมาร้องเรียนขอความเป็นธรรม บริษัท บริษัท ๕๕๕ กรีนเอ็นเนอร์จี้ จำกัด และในขณะนี้จังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงขอให้บริษัทชะลอการเข้าพื้นที่ และแต่งตั้งคณะกรรมการ และบริษัทเป็นผู้ร่วมให้ข้อมูลในคำสั่ง เพื่อให้ผู้ชุมนุมได้สบายใจ ส่วนกลุ่มชาวบ้านจะปักหลักที่หน้าศาลากลางจะอยู่ต่อหรือไม่ ต้องรอดูหนังสือบันทึกข้อตกลงเสียก่อน ถ้ายังไม่เห็นหนังสือก็ยังจะปักหลักค้างแรมต่อไป

ขณะที่ราษฎรกลุ่มอนุรักษ์น้ำซับฯได้ลุกขึ้นมาปกป้องที่ดินทำกินและแผ่นดินถิ่นเกิดยังโดนกระทำซ้ำ ในระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ได้มีโครงการพลังงานทางเลือกตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เข้ามากระทำซ้ำ เมื่อปลายปี 2565 บริษัท ๕๕๕ กรีนเอ็นเนอร์จี้ จำกัด ได้ยื่นขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหมูแปลง 2 เพื่อดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งต่อมากรมป่าไม้ก็ได้อนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนฯดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 ทั้งที่กระบวนการยื่นคำขอไม่ถูกต้องตั้งแต่ขั้นตอนแรก เนื่องจากไม่มีการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ในรัศมีที่จะตั้งโครงการ ไม่มีการทำประชาคมหมู่บ้านก่อนยื่นต่อสภาเทศบาลตำบลคำป่าหลายเพื่อให้มีมติ ไม่มีการตรวจสอบพื้นที่และกำหนดขอบเขตที่จะตั้งโครงการให้ชัดเจน ไม่มีการตรวจสอบสภาพป่าก่อนยื่นเอกสารประกอบให้สภาเทศบาลคำป่าหลายมีมติเห็นชอบ และที่สำคัญพื้นที่โครงการได้ทับที่ดินทำกินทั้งที่อยู่ในและนอกพื้นที่พิพาทที่กำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหาจากนโยบายทวงคืนผืนป่า

ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา กรมป่าไม้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เพื่อขอให้พักใบอนุญาตโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทดังกล่าว เพราะอาจทำผิดเงื่อนไขแนบท้ายการอนุญาต แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารยังนิ่งเฉยไม่มีการดำเนินการตามหนังสือของกรมป่าไม้แต่อย่างใด ถึงเวลาแล้วที่ราษฎรจะเป็นคนกำหนดอนาคตในการจัดการทรัพยากรที่ดิน ป่าไม้ แหล่งน้ำ โดยมีหมุดหมายร่วมออกมาทวงคืนสิทธิ์หลังถูกนโยบายรัฐและทุนพรากไปกว่า 9 ปี

ทั้งนี้ นับกว่า 9 ปี ราษฎรกลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย ใช้สิทธิในปกป้องแผ่นดินเกิด เคลื่อนไหวต่อสู้กับโครงการเหมืองแร่หินทรายเพื่ออุตสาหกรรม นโยบายทวงคืนผืนป่า คสช. และปัจจุบันโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมที่จะก่อสร้างในพื้นที่ ซึ่งมีที่มาจากกฎหมายหรือนโยบายรัฐและนายทุน ที่พยายามยัดเยียดโครงการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมและไม่เคยฟังเสียงราษฎรในพื้นที่

ไกรสมุทร นามโพธิ์ไทร/รายงานจากมุกดาหาร
081-0501177

ชาวแพร่ สุดทน!! ร้อง รองปธ.กธจ.แพร่ ให้ส่อดส่องฯ “บ่อบาดาลทิพย์” ม.2 ต.นาจักร อ.เมืองแพร่ พร้อมถามหาความคุ้มค่าอยู่ไหน

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 23 กรกฎาคม 2566 ว่าที่ร้อยตรีภาคิน ชมภูพันธ์ รองคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแพร่ ที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวแพร่ว่า มีการสร้างบ่อบาดาล ที่หมู่ 2 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ น่าจะไม่เคยได้ใช้งานแต่อย่างใด เพราะเห็นสภาพพื้นที่แล้ว มีหญ้าปกคลุมพื้นที่

หลังจากได้รับการร้องเรียน จึงประสานนายธีรพงษ์ ธงออน ที่ปรึกษาคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแพร่ได้ลงพื้นที่สอดส่องอย่างไม่เป็นทางการ พบว่าเป็นโครงการขุดเจาะบ่อบาดาล ที่หมู่ 2 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ มีการก่อสร้างเมื่อปี 2562 ดูสภาพน่าจะไม่เห็นมีการใช้งานแต่อย่างใด จนเป็นที่เคลือบแคลงใจของพี่น้องชาวบ้านเป็นอย่างมากว่า เพราะชาวบ้านเห็นว่างบประมาณกว่า 3 แสนกว่าบาท ที่หน่วยงานนำมาก่อสร้างให้กับหมู่บ้าน และไม่ก่อเกิดประโยชน์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ชาวแพร่ บอกว่า เป็นแฟนรายการของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแพร่ซึ่งได้ฟังจาก สวท.แพร่ ตามรายการ “คณะกรรมการธรรมาภิบาลพบประชาชน ทุกวันเสาร์ มีการบอกว่า ให้พี่น้องประชาชนชาวแพร่ ช่วยเป็นหูเป็นตาในการสอดส่องการใช้งบประมาณของจังหวัดแพร่ ให้มีความคุ้มค่าและให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะงบประมาณที่จัดสรรเป็นโครงการต่างๆ เป็นภาษีอากรของพี่น้องชาวจังหวัดแพร่ทุกคน ต้องช่วยกันดูแลด้วย

ว่าที่ร้อยตรีภาคิน ชมภูพันธ์ กล่าวอีกว่า หลังจากที่ลงพื้นที่ตรวจสอบตามการร้องเรียน ก็ทราบว่าเป็นโครงการของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดแพร่ ที่ได้จัดสรรงบประมาณในการขุดเจาะบ่อบาดาลให้กับชาวบ้านหมู่ที่ 2 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เมื่อปี 2562 ขุดเจาะบ่อบาดาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว ความลึกของบ่อ 180 เมตร ปริมาณน้ำไม่น้อยกว่า 5 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง งบประมาณ 369,000 บาท (สามแสนหกหมื่นบาทถ้วน) เริ่มโครงการ 28 กันยายน 2562 วันสิ้นสุดโครงการ 26 พฤศจิกายน 2562 ผู้รับจ้าง ร้านเวียงโกศัยวิศวกรรม ผู้ควบคุมงาน นายประพันธ์ พงษ์พันธ์ คณะกรรมการการตรวจรับงาน นายชัชวาล ชาวพิจิตร ประธานกรรมการ นางสาวนันทพร วงค์ต๋อ กรรมการ นายอรรณพ โยธานารถ กรรมการฯ

โครงการนี้น่าจะไม่ได้ใช้งานแต่อย่างใด เพราะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า จนชาวบ้านต้องเสียโอกาสในการใช้งบประมาณก้อนนี้เป็นอย่างมาก เรื่องนี้ต้องถามหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดทั้งมวลว่า โครงการนี้มีความคุ้มค่าตรงไหนอย่างไรบ้าง และจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือที่ประชุมของคณะกรรมการธรรมาภิบาลในโอกาสต่อไป

ญาณัจฉรา โชติถนอมกิจ
ราเชนทร์ โชติถนอมกิจ

แพร่…รายงาน

แม่สาย ชาวบ้านร้องทุกข์ รถบรรทุกขนดินสร้างปัญหาไม่รู้จบ ล่าสุดชนคนตายคาท้องถนน

กรณีสำนักข่าวเบาะแสภาคเหนือ-แม่สายนิวส์ออนไลน์ ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากชาวบ้าน ต.ศรีเมืองชุม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ว่ามีรถ 6 ล้อ และ 10 ล้อ บรรทุกดิน บรรทุกแกลบ สร้างปัญหา ขับรถเร็วบนท้องถนนเสี่ยงก่อเกิดอุบัติเหตุ ทำดินและแกลบตกเรี่ยราด ทำให้บนท้องถนนสกปรก ท่อไอเสียเสียงดัง ควันดำโขมง ไม่คลุมผ้าใบตามกฎหมายที่กำหนด สร้างปัญหาให้กับชาวบ้านในเขตพื้นที่ ต.ศรีเมืองชุม ไม่รู้จบ เป็นระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดในวันที่ 13 ก.ค.66 ได้เกิดเหตุบรรทุกขนดินเฉี่ยวชนกับรถซาเล้งของชาวบ้านจึงเกิดเหตุสลดขึ้นทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตคาที่ บริเวณบนท้องถนนห่างจากหน้าโรงเรียนบ้านสันถนนประมาณ 200-300 เมตรทำให้เกิดความสูญเสียถึงชีวิต และความไม่ปลอดภัยของประชาชนในการใช้รถใช้ถนนในเขตพื้นที่ ต.ศรีเมืองชุม

จึงแน่นย้ำฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ ตร. สภ.เกาะช้าง และเจ้าหน้าที่ทางหลวง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหารถบรรทุกขนดิน อย่างจริงจังเสียที อย่าปล่อยปละละเลย อาจทำให้มีการสูญเสียเพิ่มมากกว่านี้ ชาวบ้านเขาเดือดร้อนจริงๆๆ จึงได้ร้องทุกข์ต่อสื่อ

ภาพ-คลิป-ข้อมูล ได้รับร้องทุกข์จาก-ชาวบ้าน ต.ศรีเมืองชุม อ.แม่สาย
ณฐพัชร์ อภิโชคกุล หัวหน้าสำนักข่าวเบาะแสภาคเหนือ บก.เจี๊ยบแม่สายนิวส์ออนไลน์ รายงาน

กลุ่มมวลชนยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด เพื่อเรียกร้องสิทธิในการรับทราบ ข้อมูลรายละเอียดโครงการโรงงานผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล (ชานอ้อย)

วันที่ 14 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 09.30 น. ณ บริเวณหน้ามุข ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด นายชิต ชาติมลตรี พร้อมด้วยกลุ่มชาวบ้านตำบลโนนสวรรค์ อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด กว่า 100 คน เดินทางมายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเรียกร้องสิทธิในการรับทราบ ข้อมูลรายละเอียดโครงการโรงงานผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล (ชานอ้อย) และการร่วมประชุมการรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2566

โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้มอบหมายให้นายสนอง ดลประสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วยนายพิชัยยา ตุระซอง หัวหน้าสำนักงานจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมรับหนังสือฯ ตอบข้อซักถาม พร้อมกับได้แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และเจ้าของโครงการฯ รับทราบ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งกลุ่มชาวบ้านฯ มีความพึงพอใจและเดินทางกลับในต่อมา

สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด/0885730542-ข่าว

มุกดาหาร ชาวบ้าน 2 หมู่บ้านในพื้นที่ตำบลบางทรายใหญ่ ไม่เอาเหมืองแร่

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 จากกรณียื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท เอกชนแห่ง (ขอสงวนนาม) ซึ่งได้ยื่นคำขอเลขที่ 1/2564 กับอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่สีเขียว พื้นที่ถนน 4 เลนตัดผ่าน และอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร บ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้บริเวณสัมปทาน 60 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 58 ไร่ 3 งาน มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้บริเวณระเบิดหินจากเหมืองแร่หินทราย โดยมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ชาวบ้านได้ร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ตามที่ตามที่ข่าวได้เสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุด นายธีรพงษ์ กงนะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้ประชุมชาวบ้านหมู่ 6 หมู่ 11 และชาวบ้านที่มีพื้นที่ติดกับเหมืองดังกล่าว เพื่อแสดงความคิดเห็นถึงผลกระทบจากการขอประทานบัตรเหมืองแร่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว และขอคัดค้านการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทดังกล่าวอีกด้วย

นายธีรพงษ์ กงนะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการประชุมประจำเดือนปกติ แต่ได้สอดแทรกเรื่องเหมืองแร่ที่ขอประทานบัตรเหมืองแร่ ของบริษัทเอกชน แห่งหนึ่งที่ขอไว้ และวันนี้มาแสดงความคิดเห็นของชาวบ้าน ระหว่างหมู่ 6 และหมู่ 11 ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หากเกิดเหมืองขึ้นมาจะมีผลกระทบอะไรบ้างกับชาวบ้าน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีประชาชนอยู่รอบข้างเคียงบริเวณเหมือง ได้มาแสดงความคิดเห็นร่วม ถือเป็นการดีจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร จะได้นำเรื่องนี้ส่งนายอำเภอเมืองต่อไป ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะมีโครงการก่อสร้างโรงพยาบาล ซึ่งชาวบ้านก็อยากได้โรงพยาบาล และชาวบ้านที่มาในวันนี้เห็นดีด้วย และไม่เห็นดีด้วย และจะนำเอกสารดังกล่าวจะนำส่งนายอำเภอเมือง และผู้ว่าราชการจังหวัดต่อไป

สำหรับโครงการดังกล่าวทางเทศบาลตำบลบางทรายใหญ่ ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลประกอบแบบรายงานแบบที่ 2 พบว่า ถนนหมายเลข มห.3019 ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในขณะนี้อยู่ในรัศมี 500 เมตร จากพื้นที่ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท เอกชนแห่งหนึ่ง

ทั้งนี้แขวงทางหลวงชนบท ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานโครงการก่อสร้างของโครงการดังกล่าว พิจารณาตรวจสอบพื้นที่แล้ว โดยโครงการฯมีความเห็นว่า การดำเนินงานโครงการเหมืองแร่โดยใช้วิธีการ ขุดเจาะ ระเบิด อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความลึก และขนาดของแรงสั่นสะเทือน ภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ในขณะก่อสร้างปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่องานก่อสร้างโครงการฯ

อย่างไรก็ตามถ้าหากโครงการเหมืองแร่ได้รับการอนุมติแล้วเสร็จ จะมีผลกระทบต่อถนนหมายเลข มห.3019 แยก ทล.212 บ้านบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ระยะทาง 14.211 กิโลเมตร ซึ่งถนนดังกล่าวเชื่อมจากถนน 4 เลน เป็นถนนสายเศรษฐกิจพิเศษมาจากแม่สอด – มุกดาหาร และชาวบ้านที่มีบ้านพัก และที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโครงการดังกล่าว ตลอดจนสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านได้รับผลกระทบอีกด้วย

ไกรสมุทร นามโพธิ์ไทร/รายงานจากมุกดาหาร
081-0501177

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com