แฉทุนใหญ่ทิ้งคนเลี้ยงหมู!! แถมให้ไปกู้เพิ่มอีกครึ่งล้านรับผิดชอบเอง

แฉทุนใหญ่ทิ้งคนเลี้ยงหมู!! แถมให้ไปกู้เพิ่มอีกครึ่งล้านรับผิดชอบเอง

กาฬสินธุ์ แฉคนเลี้ยงหมูวอนนายทุนหาวิธีช่วยเหลือ ชี้ขี้หมูเหม็นนายทุนนอกจากไม่ช่วยยังบอกให้ไปกู้เพิ่มอีกเกือบครึ่งล้านดับกลิ่นเหม็น โวยรู้ว่าโครงสร้างและระบบไม่เรียบร้อยรีบส่งหมู-หัวอาหารมาทำไม ด้าน กอ.รมน.กาฬสินธุ์ ยื่นมือรับเรื่องร้องทุกข์พร้อมติดต่อตัวแทนทุนใหญ่ร่วมแก้ปัญหา

จากกรณีชาวบ้านใน ต.สหัสขันธ์ และต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้รับความเดือดร้อนสาหัส จากกลิ่นเหม็นของขี้หมู ที่โชยออกมาจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน 16 ฟาร์ม ส่งผลให้สุขภาพจิตเสีย ปวดหัวปวดประสาทและเจ็บป่วยด้วยโรคทางลมหายใจ เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรีบแก้ไขถึงกับ ล่ารายชื่อ และร้องทุกข์กล่าวโทษเอกชนและผู้เลี้ยงหมู ให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่นายอำเภอสหัสขันธ์ให้เร่งแก้ไขภายใน 2 สัปดาห์ ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 3 มิถุนายน 2566 ที่ฟาร์มเลี้ยงหมูรายนายนุกูล ทองจรัส และรายนางดอกไม้ แก้วสีทา บ้านถ้ำปลา ต.สหัสขันธ์ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ พ.ท.วิศิษศักดิ์ ภูกิ่งเพชร หัวหน้าฝ่ายกิจการมวลชน กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย ร.ท.วิทยา เทพจันทร์ รองหัวหน้าฝ่ายประสานความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ และ จ.ส.อ.ศักดิ์ชัย พันโกฎิ จนท.ธุรการฝ่ายกิจการมวลชน กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาฟาร์มขี้หมูเหม็น ซึ่งเป็นวันที่ 11 ของการแก้ไขปัญหา มีนายธวัชชัย บุญทานันท์ นายก อบต.สหัสขันธ์ นายทองแดง ผลผาด ผู้ใหญ่บ้านถ้ำปลา หมู่ 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุข ร่วมติดตามสุขภาพให้กำลังใจผู้ประกอบการเลี้ยงหมู

พ.ท.วิศิษศักดิ์ กล่าวว่า ฝ่ายทหารมีความห่วงใยกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ต.สหัสขันธ์ทั้ง 8 ราย จาก จำนวน 16 ฟาร์ม ทราบว่ากำลังอยู่ในช่วงของการดำเนินการแก้ไขปัญหากลิ่นเหม็น แต่พบว่าเกษตรกรเลี้ยงหมูยังต้องแบกรับปัญหาหนี้สิน เนื่องจากขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินในวงเงินที่สูงทุกราย และยังพบว่าต้องแก้ปัญหากลิ่นให้แล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาระยะยาวในระยะ 2 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะเกษตรกรไม่มีความรู้ในการเลี้ยง อีกทั้งได้รับการชักจูงจากตัวแทนนายทุนบริษัทใหญ่ ที่ทราบว่าไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด แต่กลับแนะนำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูกู้เงินเพิ่มอีก จึงเป็นไปได้ว่าจะขอเชิญตัวแทนทุนใหญ่หาวิธีการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูได้ให้หาบริษัทฯร่วมรับผิดชอบต่อสังคมในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ กอ.รมน.จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกับทุกฝ่าย พร้อมยืนเคียงข้างผู้ประกอบการเลี้ยงหมู ให้สามารถเดินหน้าไปต่อได้ และประสบความสำเร็จ มีกำไรจากการเลี้ยงหมูตลอดไป เนื่องจากเป็นการลงทุนที่สูงพอสมควร แต่หากมีการจัดการที่ดี ก็จะเป็นการลงทุนครั้งเดียว แต่ได้ผลในระยะยาว

ด้านนางดอกไม้ แก้วสีทา เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้ามาสอบถามปัญหา และให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ ซึ่งต้องยอมรับว่าตนเป็นเกษตรกรมือใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงหมู รวมทั้งก่อนนำหมูมาเลี้ยง ระบบการกำจัดของเสียในฟาร์มยังไม่สมบูรณ์แบบ รวมทั้งน้ำที่จะใช้ในการทำความสะอาดคอกหมูจำนวน 1,400 ตัวนั้นก็ไม่ค่อยจะเพียงพอ และยอมรับว่าก่อนเลี้ยง ไม่ได้คำนึงว่าจะเกิดผลกระทบมากมายขนาดนี้ และไม่คิดว่าจะต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อลงทุนในการแก้ไขปัญหากลิ่นเหม็น

“การลงทุนเลี้ยงหมูครั้งนี้ เกิดจากการเชิญชวนของตัวแทนบริษัทเอกชน และทำสัญญา 3 ปี โดยให้นำที่ดินไปจำนองกับสถาบันการเงินรอบแรก 6,400,000 บาท วงเงินจำนวนนี้จะได้ทั้งฟาร์มหมู ลูกหมู และอาหารเลี้ยงหมู พอเกิดปัญหาขี้หมูส่งกลิ่นเหม็น และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องเร่งรีบแก้ไข ทั้งติดตั้งม่านน้ำ ขุดบ่อบำบัดน้ำเสีย และถุงแก๊สหลังจำหน่ายหมูออกจากฟาร์มรุ่นแรกหมด เอกชนที่เข้ามาส่งเสริมก็ได้แนะนำให้ไปกู้สินเชื่อเพิ่มอีก ในรูปแบบของการขยายวงเงินกู้ สำหรับตนจะกู้เพิ่มอีก 400,000 บาท รวมของเดิม เป็น 6,800,000 บาท ซึ่งเป็นภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับ และจะท้อถอยไม่ได้ เนื่องจากกู้เงินมาลงทุนเป็นจำนวนมากแล้ว”
นางดอกไม้ กล่าวต่อว่า ในส่วนที่อยากจะขอให้ทางเอกชนที่มาชักชวนเลี้ยงหมู และแหล่งเงินทุนที่ให้สินเชื่อมา ได้เห็นใจผู้ประกอบการเลี้ยงหมูก็คือ ในเมื่อกู้เงินมาลงทุนจำนวนมากดังกล่าว ซึ่งเป็นหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเกินความคาดหมาย ก็อยากให้ขยายระยะเวลาชำระหนี้สิน โดยมีการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อที่ผู้เลี้ยงหมูจะมีเงินทุน ในการเลี้ยงในรุ่นต่อๆไป

พังงา​ ทำแบบนี้ก็ได้หรือ!!​ เครื่องจักรหนักลงปรับพื้นที่​จัดงานชายหาดบางสัก ทำลายต้นไม้ทะเล​ แบะสภาพแวดล้อมเสียหาย​

ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ 7 บ้านบางสัก ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า​ จังหวัดพังงา ว่ามีการนำเครื่องจักรกล ไปปรับพื้นที่บริเวณชายหาดบางสัก เพื่อเตรียมจัดงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งบริเวณชายหาดดังกล่าวนั้น ทางชาวบ้าน และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 เคยจัดกิจกรรม ปลูกต้นไม้ทะเล อาทิเช่น จิกทะเล ตีนเป็ดทะเล เป็นต้น​ เพื่อปรับสภาพแวดล้อมและฟื้นฟูธรรมชาติ​ ช่วยลดการกัดเซาะชายฝั่ง​ โดยขาวบ้านยังช่วยกันดูแลรักษาจนถึง​ปัจจุบัน​ ซึ่งบริเวณที่เครื่องจักรได้ไปปรับพื้นที่นั้น ได้มีการไถกลบจนทำให้ต้นไม้ทะเลที่ชาวบ้านร่วมกันปลูก​ เสียหายจำนวนมาก​ ไม่เหลือสภาพความเป็นธรรมชาติไว้เลย อีกทั้งยังไม่ฟังคำแนะนำจากพื้นที่เลย​

ผู้สื่อข่าว​ราย​​เพิ่มเติม​ว่า​ ซึ่งก่อนหน้านี้​ได้มีการพูดคุยกับผู้นำชุมชนและหน่วยงานที่เกี้ยวข้อง​ และได้พูดคุยตกลงกันแล้วว่า​ จะกันพื้นที่​ ที่ปลูกต้นไม้ทะเล​ เพราะต้นไม้เหล่านี้กำลังเจริญ​เติบโต​ แต่พอถึงเวลาไม่ได้ทำอย่างที่พูดคุยกันไว้​ ทำตนไม้ทะเลเสียหายจำนวนมาก​ จึงสร้างความไม่พอใจกับชาวบ้านในพื้นที่​

 

ศาลปกครองสูงสุดออกคำสั่งรื้อ “บ้านสุขาวดี” ยกเลิกการคุ้มครองอาคารบนพื้นที่พิพาท 11 ไร่ริมทะเล

จากกรณีที่เมืองพัทยา ลงพื้นที่ปิดหมายประกาศตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แบบ ค.3, ค.4, ค.7 และ ค.10 ในอาคาร 3 หลังภายในบ้าน “บ้านสุขาวดี” ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังพบว่าอาคารเหล่านี้บุกรุกที่สาธารณะและมีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งอาคารที่มีการก่อสร้างยังไม่ได้เว้นระยะตามแนวร่นจากระดับน้ำทะเลในระยะ 20 เมตร ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการดำเนินงานใหม่ในรอบที่ 2 หลังออกประกาศคำสั่งในครั้งแรกไปแล้ว แต่ทางบ้านสุขาวดี ในนามของบริษัท เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี กระทั่งมีการพิจารณาว่าประกาศคำสั่งเมืองพัทยายังไม่ครบองค์ประกอบ และเหตุผลในการรื้อถอนไม่ครบถ้วนจึงให้มีการดำเนินการออกคำสั่งใหม่นั้น

สำหรับอาคาร A ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างอยู่บนพื้นที่ดินสาธารณะขนาด 11 ไร่ 1 งาน โดยสร้างอาคารเป็นโครงเหล็ก 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง และป้ายโฆษณาจำนวน 2 ป้าย แต่ผู้ถูกฟ้องให้เหตุผลว่าอา คารดังกล่าวตั้งอยู่พื้นที่งอกตามธรรมชาติ แต่เมืองพัทยามั่นใจว่าจากแนวเขตการรังวัดและภาพถ่ายทางอา กาศเป็นการบุกรุกพื้นที่สาธารณะอย่างแน่นอน จึงเป็นข้อพิพาทเพื่อรอผลการตรวจสอบ ซึ่งต่อมาศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองเป็นการชั่วคราว กระทั่งที่สุดศาลก็มีคำสั่งยกเลิกการคุ้มครองแล้ว เมืองพัทยาจึงเร่งเข้ามาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

​ขณะที่อาคาร B และ C ซึ่งบ้านสุขาวดีแจ้งว่าเป็นอาคารที่น้ำท่วมไม่ถึงนั้น เมืองพัทยาได้ทำการรังวัดแนวเขตจากระดับน้ำทะเลสูงสุด แล้วพบว่าอาคารอยู่ในแนวที่มีการล่วงล้ำลำน้ำ โดยปัจจุบันได้มีการตัดและพื้นที่ของอาคาร C ไปแล้วเพื่อลดพื้นที่ของอาคารไปแล้วพื่อให้อยู่ในระยะห่างจากทะเลตามกฎหมาย ส่วนอาคาร B นั้นยังรอการดำเนินการอยู่เนื่องจากการศาลยังให้การคุ้มครองอยู่

อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทุกอย่างที่ทางบ้านสุขาวดีได้ส่งไปให้มีการพิสูจน์ทราบทางกระบวนการยุติธรรมจนล่าสุดมีคำสั่งยกเลิกการคุ้มครองอาคารหลังดังกล่าว ด้วยเป็นอาคารทีมีการปลูกสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร แม้ว่าขบวนการพิสูจน์ทราบของที่ดินจะเป็นเช่นไร แต่ก็ต้องถือว่าอาคารที่ก่อสร้างโดยมิชอบ หรือได้รับอนุญาต ซึ่งศาลปกครองสูงสุดจึงได้พิจารณาไต่สวนแล้วก่อนจะยกเลิกการคุ้ม ครองอาคาร A จากนั้นได้มีการปิดหมายประกาศให้ทางบ้านสุขาวดีรื้อถอนเองภายใน 15 วัน

ล่าสุด นายสุริยา แก้วเขียว ผู้อำนวยการส่วนควบคุมอาคารเมืองพัทยา พร้อมด้วย นายคริส เชิดสุริยา หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร นายมารุต อุทัยวัฒนานนท์ วิศวกรโยธาชำนาญการ นายเกียรติศักดิ์ คงเขียว วิศวกรโยธาชำนาญการ นายตรวจเขต นายกฤษดาศักดิ์ เกตุจินดา นายช่างโยธา และเจ้าหน้าที่สำนักการช่างเมืองพัทยา นำกำลังบุคลากรกว่า 30 คน พร้อมเครื่องมือและเครื่องจักรหนัก อาทิ รถแบ็คโฮ รถบรรทุก เดินทางมา ยังบ้านสุขาวดี เพื่อดำเนินการรื้อถอนอาคารดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเบื้องต้นได้ทำการรื้อแผ่นกระเบื้องพื้นเวที รวมทั้งสิ่งของต่างๆที่จัดวางไว้ และการตัดน้ำตัดไฟที่ใช้บนเวทีออกทั้งหมด

โดยการดำเนินการดังกล่าวมีทนายความของบ้านสุขาวดีมาคอยสังเกตุการณ์และแจ้งให้เมืองพัทยาชะลอเวลาการรื้อถอนไปก่อน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเกินความจำเป็น อีกทั้งปัจจุบันทางบ้านสุขาวดีก็เปิดพื้นที่ให้นักท่อง เที่ยวเข้ามาพักผ่อนแล้ว แต่เมืองพัทยาก็ยังดำเนินการไปตามขั้นตอนต่อไป เพียงการทุบรื้อดักล่าวเป็นไปด้วยความละมุนละม่อม

มีรายงานว่าทางเจ้าหน้าที่ของบ้านสุขาวดีแจ้งว่าขณะนี้เรื่องของที่ดินขนาด 11 ไร่ ที่เมืองพัทยาระบุว่าเป็นที่สาธารณะริมทะเลนั้น ปัจจุบันทางบ้านสุขาวดีได้ประสานเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี ทำการขุดเจาะชั้นดินเพื่อนำไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นที่งอกตามธรรมชาติหรือไม่ด้วย

นายคริส เชิดสุริยา หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร สำนักการช่างเมืองพัทยา กล่าวว่าอาคารที่มีปัญหาของบ้านสุขาวดีนั้นมีการต่อสู้ทางการปกครองระหว่างเมืองพัทยากับทางบ้านสุขาวดีอยู่เป็นเวลานาน ด้วยเมืองพัทยาทราว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่สาธารณะจึงสั่งระงับการใช้อาคาร และมีคำสั่งให้รื้อถอนแต่ทางบ้านสุขาวดีก็ยังไม่ดำเนินการใดๆจนล่วงเลยเวลาและใช้สิทธิ์ตามขบวนการยุติธรรมครบแล้ว จึงถึงเวลาแล้วที่เมืองพัทยาต้องเข้ามาดำเนินการมิเช่นนั้นทางเจ้าหน้าที่อาจกระทำผิดเข้าข่ายฐานละเว้นการปฏิบัติ ตามมาตรา 157

สำหรับขั้นตอนการรื้อถอนนั้น เบื้องต้นจะทำการรื้อถอนในลักษณะที่ไม่สามารถให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากอาคารได้เท่านั้นซึ่งคิดว่าคงจะกินเวลาประมาณ 3-7 วัน จากนั้นก็จะทำการตั้งงบประมาณเพื่อทำการว่าจ้างผู้รับเหมาเข้ามาทำการรื้อถอนอาคารหลังนี้ออกไป ด้วยพบว่าเป็นอาคารขนาดใหญ่และเกินกำลังที่เมืองพัทยาจะดำเนินการเองได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนนั้นก็จะมีการเรียกเก็บจากทางบ้านสุขาวดีอีกครั้ง

กาฬสินธุ์ไม่จบปัญหาฟาร์มหมูขี้เหม็นเรื้อรัง ปศุสัตว์นายทุนเอกชนล่องหน

ชาวบ้านถ้ำปลา ตำบลสหัสขันธ์ อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ยังได้รับความเดือดร้อนจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน ที่ยังคงส่งกลิ่นเหม็นรบกวนจนเป็นโรคปวดหัวปวดประสาท ขณะที่การประชุมประเมินสถานการณ์และความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา ปศุสัตว์จังหวัดและผู้จัดการบริษัทเอกชนล่องหน ไม่เข้าประชุม ด้านตัวแทนชาวบ้านระบุ หากการแก้ไขไม่จบในห้วงเวลากำหนด 2 เดือน เตรียมยกระดับร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เนื่องจากเดือดร้อนรำคาญเป็นอย่างมาก

จากกรณีชาวบ้าน 2 ใน ต.สหัสขันธ์ และต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้รับความเดือดร้อนสาหัส จากกลิ่นเหม็นของขี้หมู ที่โชยออกมาจากฟาร์มเลี้ยงหมูเอกชน 16 ฟาร์ม โดยมีผลกระทบจากมลภาวะเป็นพิษทางอากาศ ส่งผลให้สุขภาพจิตเสีย ปวดหัวปวดประสาทและเจ็บป่วยด้วยโรคทางลมหายใจ เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรีบแก้ไข ล่าสุดล่ารายชื่อ และร้องทุกข์กล่าวโทษเอกชนและผู้เลี้ยงหมู ให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่นายอำเภอสหัสขันธ์เรียกทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหาทางออก เดทไลน์แก้ปัญหากลิ่นภายใน 2 สัปดาห์และแก้ปัญหาทั้งระบบภายใน 2 เดือน ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม อบต.สหัสขันธ์ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ นางสาวแววตา นระทัด นายอำเภอสหัสขันธ์ ได้ประสานนายธวัชชัย บุญทานันท์ นายก อบต.สหัสขันธ์ ดำเนินการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์และความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา กรณีชาวบ้านได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศจากฟาร์มเลี้ยงหมู โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ผู้ประกอบการเลี้ยงหมู ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ร่วมประชุม ทั้งนี้ มีรายงานว่าไม่มีเจ้าหน้าที่หรือผู้แทนจากปศุสัตว์จังหวัดกาฬสินธุ์ หรือผู้จัดการบริษัทเอกชนผู้ให้การส่งเสริมการเลี้ยงหมูเข้าประชุม แต่ได้มอบหมายตัวแทนร่วมประชุมแทน

นายนิติชัย ประเสริฐสุข นักวิชาการส่งเสริม ตัวแทนบริษัทเอกชนส่งเสริมเลี้ยงหมู กล่าวว่า กรณีดังกล่าวทางผู้บริหารของบริษัทรับทราบและให้เร่งดำเนินการแก้ไข โดยในส่วนของการแก้ปัญหากลิ่นเหม็นในระยะแรก 2 สัปดาห์นั้น มีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 60% โดยการเร่งทำม่านน้ำเพื่อดับกลิ่นให้กับฟาร์มหมู ไม่เกิน 45 วันแล้วเสร็จทุกฟาร์ม ควบคู่ไปกับการดับกลิ่นภายในฟาร์มในขณะใช้น้ำล้างคอก และเริ่มระบายจำนวนหมูออกจากฟาร์ม ขณะที่การทำบ่อแก๊ส อยู่ในห้วงดำเนินการ ซึ่งจะแก้ไขให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
ด้านนายเดือน ไชยสาท อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58/1 บ้านถ้ำปลา หมู่ 3 หนึ่งในชาวบ้านผู้ได้รับความเดือดร้อน จากปัญหากลิ่นขี้หมูเหม็น กล่าวว่าทุกวันนี้กลิ่นเหม็นก็ยังคงมีอยู่ ยังเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน และชาวบ้านถ้ำปลาเผชิญอยู่ ตนและชาวบ้านยังได้รับความเดือดร้อนรำคาญ ขณะที่ผู้ประกอบการหรือตัวแทนบริษัทเอกชนดังกล่าว ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด มีแต่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายสาธารณสุขเท่านั้น ที่เข้ามาเยี่ยมยามถามไถ่ คอยปลอบขวัญให้กำลังใจ ซึ่งตนและเพื่อนบ้านก็ให้โอกาสในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ หากทางผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในห้วงเวลาที่รับปากไว้ภายใน 2 เดือน ชาวบ้านก็พร้อมที่จะยกระดับการร้องเรียนไปถึงศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ ปศุสัตว์จังหวัดและผู้จัดการบริษัทนายทุนเอกชนผู้ให้การส่งเสริมเลี้ยงหมู จนเกิดปัญหาส่งกลิ่นเหม็น ทำให้ชาวบ้านเป็นโรคปวดหัวปวดประสาทมากว่า 2 เดือนไม่ได้มาร่วมประชุมโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจจะไม่ได้รับการประสานงานก็ไม่ทราบได้ แต่จากการติดต่อทางโทรศัพท์ ปศุสัตว์จังหวัดอ้างว่าลาราชการ ขณะที่ผู้จัดการบริษัทเอกชนไม่สามารถติดต่อได้

ร้อยเอ็ด เครือข่ายคนรักทุ่งกุลา ยื่นหนังสือเรียกร้อง คัดค้านการก่อตั้งโรงงานน้ำตาล อำเภอปทุมรัตต์

วันที่ 29 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00 น. นายสนอง ดลประสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นายไพโรจน์ จิตจักร์ ปลัดจังหวัดร้อยเอ็ด รับมอบหนังสือจาก เครือข่ายคนรักทุ่งกุลา เรียกร้องให้ท่านสั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด จัดเวทีรับ ฟังความเห็นของประชาชน กรณีบริษัท อาหารและเครื่องดื่มร้อยเอ็ด จํากัด จะก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำตาลทรายแดง ที่จะตั้ง ณ หมู่ที่ 13 ตำบลโนนสวรรค์ อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด

ในขณะเดียวกัน วันที่ 29 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00 น. – 12.00 น. อุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด และคณะ ได้มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเครือข่ายคนฮักทุ่งกุลา ที่ได้หารือร่วมกันกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องประชุมพระเวสสันดร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด

โดยในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจัดขึ้น ณ สำนักงานเทศบาลตำบลโนนสวรรค์ อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่จะขออนุญาตตั้งโรงงาน โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟัง และเสนอแนะข้อคิดเห็นต่างๆ ซึ่งเป็นการจัดเวทีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมนอกเหนือจากการปิดประกาศรับฟังความคิดเห็นตามระเบียบแล้ว

สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด-0885730542-ข่าว
ปชส-ร้อยเอ็ด/ภาพ

ชลบุรี กลุ่มวินจยย. และกลุ่มผู้ให้บริการโบลท์ ยกพวกเจรจาริมหาดพัทยาหวิดปะทะ

เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 พ.ต.ท.สุรเชษฐ เอนกศรี รอง ผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา รับแจ้งเหตุกลุ่มวินจักรยานยนต์รับจ้าง กับกลุ่มผู้ขับขี่โบลท์ รวมตัวกัน กว่า 70 คน เหตุเกิดที่ชายหาดพัทยา ตรงข้ามซอยเลียบชายหาด 6 เมืองพัทยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเจ้าหน้าตำรวจสภ.เมืองพัทยา รีบไปตรวจสอบ

พบกลุ่มวินจักรยานยนต์รับจ้าง และกลุ่มคนขับโบลท์ ประมาณ 70 คน กำลังยืนโต้เถียงกันไปมาอย่างชุลมุน เจ้าหน้าที่ต้องเข้าระงับเหตุ ไม่ให้เกิดความรุนแรง กระทั่งไกล่เกลี่ย ให้แยกย้ายกันได้ ก่อนเชิญตัวแทนของทั้งสองกลุ่มเข้ามา เจรจาหาทางออกที่ห้องศปก.สภ.เมืองพัทยา โดยยังไม่สามารถหาข้อยุติอย่างร้อยเปอร์เซ็นไม่ได้ ทำได้เพียงถอยคนละก้าวเท่านั้น

พ.ต.ท.สุรเชษฐ เอนกศรี รอง ผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา เล็งเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดภาพลบในด้านการท่องเที่ยวได้ จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกัน โดยงดการปะทะคารมณ์

ในส่วนของวินจยย.ที่มีการขออย่างถูกต้องก็ ให้ทำมาหากินตามปกติ ส่วนของกลุ่มคนขับขี่โบลท์นั้น มีฐานลูกค้าคนละกลุ่มอยู่แล้ว ก็ขอให้มีความอลุ้มอล่วยกัน ถึงอย่างไรก็ตาม กลุ่มคนขับขี่โบลท์ นั้นไม่มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว ซึ่งก็ถือว่ามีส่วนผิดกฎหมาย หากพบว่ามีการกระทำผิดก็คงต้องดำเนินการทางกฎหมาย

นอกจากนี้ทางฝั่งของวินจักรยานยนต์รับจ้างยังแสดงเอกสารการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ถึงผลกระทบจากกลุ่มผู้ใช้แอปพลิเคชั่นโบลท์ ซึ่งขัดต่อกฎหมาย จึงได้รวมตัวกันไปร้องเรียนเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ด้วย

ศรีสะเกษ !! ชาวบ้านร้อง กกต.ศรีสะเกษ มีคนเอาเงินมาไว้ให้ 500 บาทบอกให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่ง และร้อง กกต.ให้ตรวจสอบนายกเทศมนตรี รองนายก สท.แห่ไปหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.ด้วย ขณะที่ ผอ.กกต.รับเรื่องไว้แล้วสั่งสอบสวนตามกฎหมายทันที

ศรีสะเกษ !! ชาวบ้านร้อง กกต.ศรีสะเกษ มีคนเอาเงินมาไว้ให้ 500 บาทบอกให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่ง และร้อง กกต.ให้ตรวจสอบนายกเทศมนตรี รองนายก สท.แห่ไปหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.ด้วย ขณะที่ ผอ.กกต.รับเรื่องไว้แล้วสั่งสอบสวนตามกฎหมายทันที

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ จ.ศรีสะเกษ อ.เมืองศรีสะเกษ ได้มีชาวบ้านจากบ้านสำโรง ต.ศรีแก้ว อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ นำโดย นางมาลี อายุ 79 ปี ชาวบ้านสำโรง ต.ศรีแก้ว อ.ศรีรัตนะ และ นายณรงค์ อายุ 50 ปี ชาวบ้านสำโรง โดยนายณรงค์ ได้นำเอาเงินสดเป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ กกต.ศรีสะเกษ ส่วนนางมาลี ได้นำเอารูปภาพและหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับการที่มีผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนหนึ่งและ คณะได้เข้าไปช่วยปราศรัยหาเสียงช่วยเหลือผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ คนหนึ่ง และนำเอาหลักฐานทั้งหมด มามอบให้กับเจ้าหน้าที่ กกต.ศรีสะเกษ เพื่อให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเจ้าหน้าที่ กกต.ศรีสะเกษ ได้ทำการสอบปากคำผู้มาร้องเรียนเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
นางมาลี อายุ 79 ปี ชาวบ้านสำโรง ต.ศรีแก้ว อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ตนกับพวกได้พบเห็นพฤติกรรมของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนหนึ่งและคณะ ว่า ในช่วงที่กำลังมีการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ศรีสะเกษ ปรากฏว่า ได้มีผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะ ได้พากันมาช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ คนหนึ่ง ซึ่งตนเห็นว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ข้าราชการทุกส่วนจะต้องวางตัวเป็นกลาง เพื่อให้การเลือกตั้ง ส.ส.เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม แต่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนหนึ่งกับพวก พากันมาหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่ง ตนกับพวกจึงนำเอาหลักฐานมามอบให้ กกต.ศรีสะเกษ เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายณรงค์ อายุ 50 ปี ชาวบ้านสำโรง ต.ศรีแก้ว กล่าวว่า ในช่วงที่กำลังมีการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ตนได้เดินทางไปทำธุระนอกบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านปรากฏว่า ได้มีคนนำเอาเงินสด เป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท

จำนวน 1 ฉบับมาฝากไว้ให้ตนที่บ้าน โดยแจ้งว่าให้ตนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่ง ตนเห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น จึงได้นำเอาเงินมามอบให้เจ้าหน้าที่ กกต.ศรีสะเกษ เพื่อให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายตะติยาวัฒน์ สุวรรณศรี ผอ.สนง.กกต.ประจำ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า วันนี้ได้มีผู้มายื่นเรื่องร้องคัดค้านเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส.นั้น ทางฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็ได้รับเรื่องเอาไว้แล้ว ก็จะได้ทำการตรวจสอบข้อมูลและสอบปากคำพยานต่างๆตามขั้นตอนของระเบียบ เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการของเจ้าหน้าที่ เมื่อทำการตรวจสอบพยานหลักฐานแล้ว ก็จะได้ทำการไต่สวนและค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามระเบียบต่อไป ส่วนการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมานั้น จากการที่ได้มีการตรวจสอบการร้องเรียนแล้วปรากฏว่า มีการร้องเรียนการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเข้ามาประมาณ 4 – 5 เรื่อง ก็ได้ดำเนินการตรวจสอบเป็นรายกรณีไปแล้ว ซึ่งการตรวจสอบยังอยู่ในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ บางเรื่องก็ยังไม่สรุป แต่ว่าตนก็ได้ติดตามเรื่องเร่งรัดให้สรุปรายงานมาให้ตนทราบภายในสัปดาห์นี้ เพื่อจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบกฎหมายต่อไป

*************
ข่าว/ภาพ…… บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

นครราชสีมา จวกยับ!! วัยรุ่นเปิดเพลงเสียงดังสนั่นลั่นเมืองกลางดึก ทนนอนไม่ได้

วันที่ 22 เมษายน 2566 จากกรณีเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์p.6 โพสต์วีดีโอเหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นกระบะแต่งซิ่ง 3 คัน จอดรถเปิดเพลงเสียงดังสนั่นริมถนนยามวิกาลก่อกวนชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือนร้อน โดยระบุข้อความว่า “มาเปิดเพลงเสียงดังเพื่อ….อย่าทำตัวเป็นขยะสังคมสิ จนท.เจ้าของพื้นที่กวดขันหน่อยสิ อ.สีคิ้ว ปากทางสีคิ้ว รบกวนช่วยผมด้วยครับ ตีสองผมต้องตื่นมาดูพวกมันเปิดเพลงดังมากๆครับไม่เกรงใจเปิด4-5เพลง ไม่เกรงใจใครเลยคงจะเลิกมาจากร้านเหล้าตี1เกือบตี2 ก็มาเปิดเพลงต่อผมก็ต้องทนร้านเหล้าร้านนี้แถมยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก ” หลังจากที่เพจดังได้โพสต์เรื่องราวดังกล่าวมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จวกยับกลุ่มวัยรุ่นที่มาเปิดเพลงเสียงดังรบกวนสร้างความรำคาญให้ชาวบ้าน เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นบริเวณหน้าปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งใกล้สถานบันเทิงในพื้นที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา

ล่าสุดผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังจุดดังกล่าวพบนายเอ (นามสมมุติ) อายุท27 ปี คนถ่ายคลิป เล่าเหตุการณ์ว่า ช่วงเวลาตี 02.05 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา มีรถกระบะแต่งซิ่งจอดรถนั่งดื่มสุราและเปิดเพลงเสียงดังกว่า20นาที คาดว่ากระบะกลุ่มนี้ออกมาจากสถานบันเทิงที่อยู่ข้างปั้มหลังจากร้านปิดจึงได้ออกมานั่งดื่มกันต่อ ตอนนั้นเสียงเพลงดังมากทำให้สดุ้งตื่นหลังจากนั้นได้มาถ่ายคลิปเหตุการณ์ไว้ ผ่านไป30นาที กลุ่มวับรุ่นจึงได้แยกย้าย สงสัยว่าทำไมร้านเหล้าแห่งนี้สามารถปิดเกินเวลาที่กำหนดได้ ดนตรีสดจะเลิกเที่ยวคืนก็จริง แต่ยังไม่กลุ่มนักเที่ยวที่ยังนั่งดื่มและส่งเสียงดังอยู่ภายในร้าน โดยปกติแล้วที่เคยไปเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆตอนเที่ยงคืนเจ้าหน้าที่ก็ให้ออกนอกร้านแล้ว ร้านดังกล่าวเป็นลักษณะคล้ายร้านนั่งชิว ไม่มีที่เก็บเสียงเปิดโล่งทำให้เสียงดังออกมา แต่ก็ได้แต่อดทนเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร และบางทีก็ยังมีรถกระบะซิ่งกลุ่มแว๊นมอไซค์มาแข่งขันบริเวณปากทาง อยากให้เจาหน้าที่กรวดขันอย่างเข้มงวด

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนางสาวเบญจมาศ ขอสีกลาง อายุ 29 ปี แม่ค้าขายอาหาร เปิดเผยว่า กำลังขายของอยู่ได้มีกลุ่ยวัยรุ่นขับกระบะมาจอดหลังจากที่ร้านเหล้าปิดและได้เปิดเพลงเสียงดังอยู่ฝั่งตรงข้าม พึ่งเคยเห็นรถกระบะกลุ่มนี้ครั้งแรก ปกติแล้วร้านอาหารของตนจะปิดตี3 ปกติแล้วร้านเหล้าก็จะปิดประมาณตอนเที่ยงคืนดนตรีสดจะเลิก พอใกล้ถึงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบทุกวัน ส่วนหลังจากที่ดนตรีหยุดก็อาจจะยังเหลือลูกค้าที่นั่งดื่มชิวๆ แต่ก็ไม่ได้เสียงดังอะไรมาก เพราะก่อนหน้านี้ทางร้านเคยถูกร้องเรียนเรื่องเสียงดัง ทำให้เจ้าของร้านได้ปรับปรุงและลดเสียงลง วันปกติก็จะไม่เปิดดังมาก แต่วันศุกร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุด ก็อาจจะมีเสียงดังบ้างแต่ก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไรมาก

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยัง สภ.สีคิ้ว เพื่อติดต่อขอพบ พ.ต.อ.ฐิตวันจ์ อาจน์ธรรม ผกก.สภ.สีคิ้ว เพื่อสอบถามรายละเอียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงโรงพักเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าผู้กำกับติดภารกิจด่วนรอต้อนรับคณะลุงป้อมที่ลงพื้นที่มาหาเสียงที่จังหวัดนครราชสีมา ทีมข่าวจึงได้พยายามโทรไปติดต่อสอบถามกับทางผู้กำกับ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ผู้กำกับไม่รับสาย

/// อภิรักษ์ ศรีอัศวิน_ข่าวนครราชสีมา /// 098-532-2444

แพร่ นักท่องเที่ยว “เดือดหนัก” เส้นทางร้องกวาง – นาหมื่น ช่วง ม.13 บ้านห้วยห้อมพัฒนา ต.บ้านเวียงฯ ไม่ตอบโจทย์

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 12 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวที่ใช้เส้นทางผ่านเส้นทางหมู่ที่ 13 บ้านห้วยฮ่อมพัฒนา ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ เส้นนี้เป็นทางเชื่อมจากอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ไปยังอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน เป็นเส้นทางลัดและมีจุดชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่สวยงามมาก เหมาะกับการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว ถ้าหากทางราชการมีการดูแลถนนเส้นนี้ให้ดี ก็จะเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ทั้งสองจังหวัด มีเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

จากการสำรวจในเบื้องต้น ทราบว่าเป็นถนนสาย 1342 แขวงทางหลวงชนบทแพร่ กรมทางหลวงชนบท จุดที่นักท่องเที่ยว ฝากเรื่องนี้มาคือช่วง หมู่ 13 บ้านห้วยฮ่อมพัฒนา และบ้านปากห้วยอ้อย ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นเส้นทางกำลังก่อสร้าง และไม่ทราบว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ประกอบกับเป็นทางลาดชันมาก ผิวจราจรคับแคบมาก

นายเก๋ง แสนว่าง อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 บ้านห้วยฮ่อมพัฒนา ตำบลบ้านเวียงอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนเองในฐานะอดีตผู้นำหมู่บ้าน เห็นการเปลี่ยนแปลงของถนนมาเป็นช่วงๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นถนนเดิมมีผิวจราจรที่กว้าง ถึงแม้ไม่ได้ลาดยางแต่ผิวจราจรก็กว้าง ทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวผ่านตรงจุดนี้ ก็มีความสะดวกพอไปได้ แต่ก็เคยมีอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากว่าตรงจุดดังกล่าว เป็นทางลาดชันมาก และหลังจากหน่วยงานราชการมาสร้างถนนใหม่แต่จากการสังเกตุเห็นตามสภาพ ถนนยังมีความลาดชันและมีเส้นทางที่คับแคบ ก็ไม่ทราบว่าหน่วยงานมีการออกแบบอย่างไร ในเมื่อมีการก่อสร้างใหม่แทนที่จะทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวมีการสัญจรสะดวกปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น แต่นี่เหมือนกับว่ายิ่งแย่กว่าเดิม ประกอบกับในช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีรถนักท่องเที่ยว และพี่น้องชาวบ้านใช้เส้นทางเป็นจำนวนมากเกรงจะเกิดอันตรายเกิดขึ้นได้

นายเหลายี้ แซ่เหล๋า ชาวบ้านหมู่ 13 บ้านห้วยฮ่อมพัฒนา บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้จะพูดอย่างไร ในเมื่อหน่วยงานราชการมาสร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน อย่างเช่นสร้างถนนทางเข้าหมู่บ้านของตนเอง แทนที่จะมีความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้นแต่นี่กลับเหมือนแย่กว่าเดิม ซึ่งตนเองอยู่ที่นี่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านก็มีความดีใจว่าทางราชการมาทำถนนให้ แต่เท่าที่เห็นถนนจุดนี้มีความลาดชันมากและคับแคบการสัญจรไปมาตรงจุดนี้ความอันตรายยังมีอยู่แน่นอน เพราะทุกปีที่ผ่านมาก็จะมีรถประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง

ญาณัจฉรา โชติถนอมกิจ
ราเชนทร์ โชติถนอมกิจ

แพร่….รายงาน

กอ.รมน.จังหวัดเลย ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน 1374 กอ.รมน. “นายทุนลักลอบขุดดินบนภูเขา”

เมื่อวันที่ 11 เม.ย.66 เวลา 10.30 น. ที่บริเวณพื้นที่ บ้านหนองหญ้าไซ ม.9 ต.นาดินดำ อ.เมือง จ.เลย พ.อ.พุทธิวัฒน์ สิริพงศ์พล รอง ผอ.รมน.จังหวัด ล.ย. (ท.มอบหมายให้ พ.ท.รพีพงศ์ นิติสมบูรณ์ หน.กนผ.กอ.รมน.จังหวัดเลย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดเลย กอ.รมน.จังหวัดเลย สนธิกำลังร่วมบูรณาการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ผ่านระบบ 1374 เรื่องมีนายทุนลักลอบขุดดินบนภูเขา โดยจะใช้รถแบคโฮ ขุดห้วงเวลา 0900-1400 ใส่รถบรรทุก 6 ล้อ ขายให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ จึงได้ประสาน ศูนย์ป่าไม้จังหวัดเลยจำนวน 1 นาย, หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ห้วยกระทิงจำนวน 3 นาย , ทต.นาดินดำ จำนวน 4 นาย ร่วมตรวจสอบ

เมื่อไปถึงในที่เกิดเหตุพบรถแบคโฮจอดอยู่แต่ไม่มีคนขับ และตรวจสอบบริเวณโดยรอบไม่พบผู้ใด แต่มีร่องรอยการขุดดินโดยใช้เครื่องจักร เกิดความเสียหายต่อสภาพธรรมชาติ จึงได้ร่วมกัน บันทึกภาพไว้ และในการนี้ได้ตกลงกันมอบหมายให้ป่าไม้จับพิกัดเพื่อตรวจสอบแนวเขตกับที่ดินจังหวัดเลยเนื่องได้รับข้อมูลการขอขุดดินกับทาง ทต.นาดินดำ ทต.นาดินดำจึงมอบสำเนาให้กับ กอ.รมน.เลย จำนวน 1 ชุด พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ ทต.นาดินดำ สั่งการตามกฎหมายให้ชะลอการขุดดินไว้ก่อนระหว่างรอผลการตรวจสอบ ส่วน กอ.รมน.จังหวัดเลย จะได้ส่งค่าพิกัดให้ พัฒนาที่ดินจังหวัดเลย ตรวจสอบความลาดชัน เนื่องจากพบพิรุธสงสัยว่าเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน จะได้แจ้งการปฏิบัติ ให้ประชาชนผู้ร้องทราบ ผ่านระบบ 1374 กอ.รมน. ต่อไป

ภาพ : กอ.รมน.จังหวัดเลย
ข่าว : พรพิพัฒน์ เพ็ชรสังหาร จ.เลย 0812629896