google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

คณะผู้แทนรัฐสภาไทยเข้าร่วมการประชุมระดับโลกของภาครัฐสภาว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นวันแรก

“คณะผู้แทนรัฐสภาไทยเข้าร่วมการประชุมระดับโลกของภาครัฐสภาว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นวันแรก”

วันที่ 28 กันยายน 2564 เวลา 15.00 นาฬิกา คณะผู้แทนรัฐสภาไทย ประกอบด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ สมาชิกวุฒิสภา นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ สมาชิกวุฒิสภา นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมการประชุมระดับโลกของภาครัฐสภาว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 (First Global Parliamentary Meeting on Achieving the SDGs) เป็นวันแรก โดยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสหภาพรัฐสภา (IPU) และสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 28-30 กันยายน 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาครัฐสภาในการติดตามและขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2030 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากรัฐสภาประเทศสมาชิกจำนวนกว่า 134 คน ในการนี้ นางสาวเพชรดาว โต๊ะมีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะสมาชิกคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของสหภาพรัฐสภาได้เข้าร่วมการประชุมตามคำเชิญของ IPU ด้วย
.
การประชุมเริ่มต้นขึ้นโดย Mr. Duarte Pacheco ประธานสหภาพรัฐสภา กล่าวเปิดการประชุม พร้อมทั้งขอบคุณสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐอินโดนีเซียที่ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมที่สำคัญในครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของภาครัฐสภาในการร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเครื่องมือด้านนิติบัญญัติอย่างจริงจัง โดยในวันแรกของการประชุมฯ แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
-ช่วงที่ 1 ภายใต้หัวข้อ สมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในยุคโควิด-19 อย่างไร (How are parliaments contributing to the realization of the SDGs during the COVID-19 pandemic?) เริ่มต้นขึ้นด้วยการนำเสนอของ Ms. Karin Jabre ผู้อำนวยการด้านโครงการของสหภาพรัฐสภา ซึ่งกล่าวถึงข้อท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในปัจจุบัน พบว่าจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งมีระยะเวลายาวนานกว่า 2 ปี ก่อให้เกิดการชะงักงันทางเศรษฐกิจซึ่งซ้ำเติมให้อัตราความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นเหตุให้การดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดความล่าช้าออกไปอีก และต้องอาศัยความร่วมมือในการติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนจากภาครัฐสภาอย่างจริงจัง ทั้งนี้ สหภาพรัฐสภาได้กล่าวชื่นชมรัฐสภาไทยที่ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติและการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เพื่อเป็นกลไกในการติดตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ในการนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ร่วมอภิปรายต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนฯ อาทิ การมีส่วนร่วมของภาครัฐสภาในการจัดทำรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติโดยสมัครใจ ปี 2564 (Voluntary National Review : VNR) การติดตามตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมารัฐสภาไทยได้เห็นชอบงบประมาณแผ่นดินคิดเป็นร้อยละ 9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เพื่อสนับสนุนในด้านดังกล่าวโดยไม่ละเลยกลุ่มเปราะบาง
– ช่วงที่ 2 หัวข้อ ไม่ทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลัง: เราทำตามสัญญาหรือไม่ (“Leave no one behind”: Are we keeping the promise?) Mr. Fernand de Varenne ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยชนกลุ่มน้อย ได้กล่าวถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสตรีกลุ่มผู้เปราะบาง และชนกลุ่มน้อย ซึ่งถูกเลือกปฏิบัติมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความสามารถในการจ้างงานที่ลดลงของภาคเอกชน รวมถึงการได้รับค่าจ้างราคาถูกจากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

ที่ประชุมได้มีการอภิปรายกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับการยกระดับสถานะของสตรี และกลุ่มเปราะบางให้มีความเท่าเทียมทั้งในด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการนี้สมาชิกรัฐสภา สาธารณรัฐเม็กซิโก ได้ยกตัวอย่างความพยายามในการออกกฎหมายของประเทศเกี่ยวกับการยกเว้นให้การรับโทษจำคุกของสตรีในกรณีลหุโทษหรืออันมีเหตุมาจากการกระทำความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น
-ช่วงที่ 3 หัวข้อโควิด-19: การลงทุนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและการเตรียมความพร้อมฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (COVID-19: A wakeup call to make investment in universal health coverage and health emergency preparedness a priority) Mr. Tedos Adhanom Ghebreyesus เลขาธิการองค์การอนามัยโลก ได้กล่าวถึง การกระตุ้นจิตสำนึกของรัฐสภาประเทศสมาชิกในการออกกฎหมายที่ส่งเสริมการลงทุนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือการแพร่ระบาดใหญ่ครั้งใหม่ในอนาคต ซึ่งภาครัฐสภาเป็นความหวังเดียวของประชาชนในการทำให้เรื่องดังกล่าวมีผลทางกฎหมายอย่างจริงจังอันจะเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติโดยรวม ในการนี้ นางสาวเพชรดาวโต๊ะมีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะคณะที่ปรึกษาสหภาพรัฐสภาด้านสาธารณสุข ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์ COVID-19 ของไทย ต่อที่ประชุมผ่านกระดานข้อความ (Chat) โดยยกตัวอย่างกรณีพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของประเทศไทยเพิ่งประกาศใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้จัดสรรงบประมาณในวงเงิน 4,215 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ที่เป็นพื้นฐานหลักของการให้บริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพทั่วประเทศ นอกจากนี้ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19 ประเทศไทยยังได้มีการจัดสรรวัคซีน ยา ชุดทดสอบ และเวชภัณฑ์สำหรับ COVID-19 และประชาชนได้รับสิทธิตรวจรักษาโควิด-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนแจกจ่ายชุดทดสอบแอนติเจน (ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด ไปยังโรงพยาบาลและร้านขายยาทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงในภูมิลำเนาของตนได้โดยง่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจน การจ่ายเงินชดเชยโดย สปสช. ให้แก่ประชาชนผู้มีอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน โควิด-19 ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนชายขอบและกลุ่มเปราะบางจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ภาพ/ข่าว ฤทธิรณ ปัญญากาบ ทีมข่าวไทยเกอร์นิวส์ รัฐสภา รายงาน

หวิดวอด เปิดแก๊สตั้งกาน้ำร้อนทิ้งไว้ โชคดีเพื่อนบ้านเห็นควันไฟ ปิดวาล์วแก๊สทัน

ข่าว-หวิดวอด เปิดแก๊สตั้งกาน้ำร้อนทิ้งไว้ โชคดีเพื่อนบ้านเห็นควันไฟ ปิดวาล์วแก๊สทัน

ภาพ/ข่าว อุทาหรณ์ เปิดแก๊สตั้งกาน้ำร้อนทิ้งไว้ โชคยังดีเพื่อนบ้านเห็นควันไฟลุกขึ้นในบ้านแจ้งดับเพลิงดับทันหวิดวอดทั้งหลัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา11.30 น. บริเวณบ้านเลขที่ 471/2 หมู่ 7 ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด หลังรับแจ้งรถดับเพลิงเทศบาลตําบลคลองใหญ่ รถดับเพลิง อบต.คลองใหญ่ ทั้ง 2 เขตจำนวน 2 คัน ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่มีคนอยู่ในบ้านปิดบ้านออกไปทําธุระนอกบ้านในที่เกิดเหตุได้พบว่าเป็นบ้านตึก 3 ชั้นในเขตชุมชนอยู่ริมทางถนนสายในก่อนถึงสะพานท่าเทียบเรือนํ้าลึกคลองใหญ่ประมาณ 50 เมตร โชคดีเพื่อนบ้านตรงข้ามเห็นควันไฟลอยอยู่ในบ้านบริเวณห้องครัว จึงได้โทรไปหาเจ้าของบ้าน ก่อนที่เพื่อนบ้านข้างๆได้ปีนหลังบ้านเข้าไปปิดวาล์วแก๊สได้ทัน

สอบถามนายนายสหมิตร วันวรรณรัตน์ เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านที่เกิดเหตุเล่าให้ฟังว่า ตนกําลังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ได้มองไปเห็นบ้านเกิดเหตุพบว่าทําไมบ้านหลังนี้มีควันไฟพุ่งออกมาจากหน้าบ้าน ตนจึงออกไปดูและเรียกเพื่อนบ้านมาดูแล้วเพื่อนบ้านได้ปีนหลังบ้านเข้าไปเปิดประตูหลังบ้านแล้วเข้าไปปิดวาล์วแก๊สไว้ทัน ซึ่งเจ้าของบ้านได้ตั้งกานํ้าร้อนไว้แล้วออกไปทําธุระนอกบ้านลืมปิดจนกานํ้าร้อนทะลุเป็นรูขนาดใหญ่ ทําให้มีควันไฟเต็มทั่วบ้าน ด้านนายยรรยง พิกุลสุข เจ้าของบ้าน รับสารภาพว่าตนเองลืมจริงๆตนก็อายุมากแล้วขี้หลงขี้ลืมยังโชคดี ที่เพื่อนบ้านมาช่วยไว้ทัน ทำให้ไฟไม่ได้ลุกลามไปยังบ้านหลังอื่น

/ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ตราด

ศรีสะเกษ !! แสดงมุทิตาจิตเชิดชูเกียรติข้าราชการเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2564

ศรีสะเกษ !! แสดงมุทิตาจิตเชิดชูเกียรติข้าราชการเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2564

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ นายอนุรักษ์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานในพิธีแสดงมุทิตาจิตเชิดชูเกียรติข้าราชการเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2564 โดยมีนายวิชัย ศรีโพธิ์งาม เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ นำข้าราชการในสังกัดสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษที่ครบเกษียณอายุราชการ เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณและของที่ระลึก ด้วยมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและให้กำลังใจแก่ข้าราชการในสังกัดสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษที่เกษียณอายุราชการ ในการดำรงชีวิตประจำวันในวัยเกษียณต่อไป
นายอนุรักษ์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการผู้ครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2564 ทุกท่าน ที่ได้ฟันฝ่าอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ภาระในการทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งการปฏิบัตงานหน้าที่ในทุกวันนี้ ต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนอย่างมากมาย

ในทุกเรื่อง ซึ่งพวกเราทุกคนจะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อประชาชนไม่ได้ พวกเราได้เสียสละทุ่มเทแรงกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถในการทำหน้าที่แก้ไขปัญหาต่างๆ ขณะที่พวกเราทำหน้าที่ บางครั้งเสี่ยงกับการถูกร้องเรียน จากการทำหน้าที่ของพวกเรา การที่ทุกท่านสามารถฟันฝ่าอุปสรรคปัญหา สามารถทำหน้าที่ตนเองจนครบเกษียณอายุราชการ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม การเกษียณอายุราชการ จะได้มีเวลาให้กับครอบครัวต็มที่ มีเวลาทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น การท่องเที่ยวเกษตรกรรม งานอดิเรก ตลอดจนอาชีพต่างๆที่รักและถนัด มีเวลาเข้าหาธรรมะเพื่อหาสัจจะธรรมและความสงบในชีวิต สามารถกลับไปอยู่ภูมิลำเนาที่ตนเองชอบอย่างอิสระเสรี ภาระหน้าที่งานสังคมต่างๆก็ลดลง แต่สิ่งที่พึงระมัดระวังก็คือเรื่อง รายได้จากทางราชการ เงินบำนาญจะน้อยกว่าเงินเดือนปกติ ต้องรู้จักวินัยทางการเงิน ตลอดจนการวางแผนการออมและเรื่องสุขภาพ เนื่องจากอายุมากขึ้นจึงควรดูแลตัวเองด้วยหลัก 4 ออ คือ ออกกำลังกาย อาหารดีมีประโยชน์ อารมณ์ดีเพื่อสุขภาพที่ดีและมีอายุยืนยาว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานและครอบครัวต่อไป

*************
ข่าว/ภาพ…… บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 15 ล้านบาท เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2564

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 15 ล้านบาท เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2564

ระหว่างวันที่ 4 กันยายน – 2 ตุลาคม 2564 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยนายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ จัดคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค นำทีมโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยนายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2564 ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำพริก เจลแอลกอฮอล์ บรรจุถุงผ้าดิบ พร้อมเงินสดที่ในปีนี้กลุ่มบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด ได้ร่วมบริจาคทำบุญ นำออกแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านบาท โดยมีอาสาสมัครกิตติมศักดิ์ และอาสาสมัครศิลปิน นำโดย นางศิริพร โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ นายกวินรัฏฐ์ ยศอมรสุนทร (หยวน-กวินรัฏฐ์) นางสาวธวนัฏฐิตา ฐานวิเศษ (เมย์-ธวนัฏฐิตา) นางสาวพรชดา วราพชระ (มะเหมี่ยว-พรชดา) และนายวาทิต โสภา(วินน์-วาทิต) อาสาสมัครกู้ภัยเขตต่างๆ ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคพร้อมให้กำลังใจแก่ประชาชน พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นผู้จัดเตรียมพื้นที่แต่ละเขต และร่วมแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในพื้นที่
.
และในวันนี้ (วันที่ 30 กันยายน 64) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่เขตบางพลัด และเขตบางรัก รวม 2 เขต รวมจำนวนถุงยังชีพ 1,000 ชุด คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน)

.
สำหรับการแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2564 นี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจึงได้ประสานงานกับสำนักงานเขตทุกเขต ในการกำหนดวัน จัดเตรียมสถานที่และชุมชนในพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบ ตั้งจุดคัดกรองประชาชนในแต่ละจุดตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่และกำลังอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทยอยลงพื้นที่เพื่อแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านบาท
.
ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสารและการปฏิบัติภารกิจของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

.
#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต
.
“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

เทศบาลเมืองปทุมธานีเตรียมพร้อมป้องกันน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่

เทศบาลเมืองปทุมธานีเตรียมพร้อมป้องกันน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่
พลตำรวจตรี พงษ์สวัสดิ์ หาญสวัสดิ์
นายกเทศบาลเมืองปทุมธานี
ลงพื้นที่ตรวจสอบระดับน้ำเพื่อเฝ้าระวังและป้องกัน
และมอบหมายให้
นายปัญญา ชลคงคา
รองนายกเทศบาลเมืองปทุมธานี
รับผิดชอบวางแนวทางในการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่

ด้วยพื้นที่เขตเทศบาลเมืองปทุมธานี มีพื้นที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกเป็นระยะทางยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ประชาชนอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและในพื้นที่จำนวนหนาแน่น
ช่วงนี้ในพื้นที่มีฝนตกปริมาณหนักหลายวันติดต่อและยังเป็นพื้นที่รองรับน้ำเหนือต่อจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทางเทศบาลเมืองปทุมธานีจึงได้ดำเนินการนำกระสอบทรายปิดกั้นท่อระบายน้ำทิ้งคลองซอยต่างๆในพื้นที่เพื่อป้องกันน้ำล้นตลิ่งเข้าพื้นที่ชั้นในซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่เกษตรกรรม
เพื่อเป็นการลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่
และได้มีการจัดชุดเคลื่อนที่เร็วไว้ 2 ชุด
เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง
สำหรับกรณีความกังวลเรื่องน้ำจะท่วมจังหวัดปทุมธานีเหมือนปี 54 หรือไม่

ได้เช็คข้อมูลจาก ปภ.จังหวัดและกรมชลประทานสรุปได้
ขณะนี้น้ำเหนือไหลลงมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ปริมาณ 2300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่ปี 54 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ฝนไปตกทางภาคอีสานเยอะกว่าปี 54
ผลกระทบน้ำท่วมจึงไปที่ภาคอีสาน
น้ำในเขื่อนใหญ่เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสัก ยังมีพื้นที่ว่างในการเก็บน้ำพอสมควร ต่างจากปี 54 ที่ลดความจุ อำเภอบางบาล อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำล้นตลิ่งเรื่องปกติของชุมชนริมน้ำที่เกิดขึ้นทุกปีเวลาน้ำเหนือหลาก
ถ้าไม่มีพายุใหญ่เข้ามาตรงๆอีก 2-3 ลูก(ปี54มี10ลูก)ไม่น่ากังวลที่จะเหมือนปี 54

สญชัย คล้ายแก้ว
รายงาน

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 2 จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 2 จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561

วันนี้ ( 30 ก.ย.64 ) ที่โรงแรม มณีจันทร์รีสอร์ท จังหวัดจันทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ และการคัดเลือกกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกจากภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ซึ่งเป็นการแบบลับมีการลงคะแนนเสียงโดยใช้คูหาของ กกต.ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด -19 ผ่านระบบวงจรปิดแยกห้องประชุม 2 ห้องห้องละ 40 คน ซึ่งนางสาวธารทิพย์ จันทร์พิทักษ์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก กล่าวรายงานว่า ด้วยพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้มีองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในประเทศและระดับลุ่มน้ำ โดยมาตรา 27 กำหนดให้มีคณะกรรมการลุ่มน้ำ โดยมีองค์ประกอบ ประกอบด้วย (1) กรรมการลุ่มน้ำโดยตำแหน่ง (2) กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3) กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และ (4) กรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ และมาตรา 38 กำหนดให้บุคคลซึ่งใช้น้ำในบริเวณใกล้เคียงกันและอยู่ในเขตลุ่มน้ำเดียวกัน มีสิทธิรวมตัวกันจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ โดยการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ในแต่ละเขตลุ่มน้ำมาจากการคัดเลือกกันเองของผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำแต่ละภาค ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยองค์กรผู้ใช้น้ำที่ได้จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นตามมาตรา 38 และยังคงมีการดำเนินการขององค์กรผู้ใช้น้ำนั้น ในเขตลุ่มน้ำซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการลุ่มน้ำ พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 2 ได้ดำเนินการรับการเสนอชื่อผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม

ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ในเขตลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และได้ดำเนินการ ตรวจสอบเอกสาร หลักฐาน และคุณสมบัติของผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำเรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำเสนอชื่อเพื่อคัดเลือก รวมจำนวน 113 คน ประกอบด้วย ภาคเกษตรกรรม จำนวน 29 คน ภาคอุตสาหกรรม จำนวน 31 คน และภาคพาณิชยกรรม จำนวน 53 คนเพื่อให้การดำเนินการตามกฎกระทรวงการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำดังกล่าว เป็นไปตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 2 โดยกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก จึงได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบหน้าที่และอำนาจของกรรมการลุ่มน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 รับทราบแนวทางการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำในแต่ละองค์ประกอบ และดำเนินการคัดเลือกกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม

ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี
พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

นครราชสีมา – ตำรวจโคราชพร้อมชุดจิตอาสาฯ ร่วมกับผู้นำชุมชน ขนกระสอบทรายนับ 1,000 กระสอบ ทำคันกันน้ำล้นตลิ่งเข้าบ้านเรือนราษฎร ระดับน้ำท่วมถนนสูงกว่า 2 ฟุต

นครราชสีมา – ตำรวจโคราชพร้อมชุดจิตอาสาฯ ร่วมกับผู้นำชุมชน ขนกระสอบทรายนับ 1,000 กระสอบ ทำคันกันน้ำล้นตลิ่งเข้าบ้านเรือนราษฎร ระดับน้ำท่วมถนนสูงกว่า 2 ฟุต

วันที่ 30 ก.ย. 2546 ผู้สื่อรายงานว่า พ.ต.อ.กรกฎ โปชยะวณิช ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา พร้อมชุดจิตอาสาชุมชนสัมพันธ์ ร่วมกับผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ม.4 บ้านโพนสูง ต.หมื่นไวย์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ช่วยกันบรรเทาภัยน้ำท่วมในพื้นที่หมู่บ้าน ขนกระสอบทรายนับพันกระสอบ ทำคันกันน้ำล้นตลิ่งเข้าบ้านเรือนราษฎร หลาย 1,000 ครัวเรือน อีกทั้งระดับน้ำท่วมถนนสูงประมาณ 2 ฟุต ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างนั้น

พ.ต.อ.กรกฎ เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. เมืองนครราชสีมา ได้เห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนซึ่งได้รับน้ำจากลำน้ำสาขาลำตะคอง เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน หลายพันครัวเรือน จึงต้องมีการสั่งทรายมาหลายคิว ก่อนจะระดมทีมงานบรรจุทรายเข้ากระสอบ เพื่อไปล้อมหมู่บ้านเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องถึงผู้ช่วยเหลือประชาชน ในยามทุกข์ยาก และภาวนาอย่าให้ฝนตก เพื่อให้น้ำรอระบายเข้าสู่ภาวะปกติ

ภาพข่าว / อภิรักษ์ ศรีอัศวิน ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.นครราชสีมา

ชยันต์ย้ายดำรงตำแหน่งผู้ว่านครสวรรค์แจงยินดีช่วยเหลือชาวร้อยเอ็ดเสมอใจยังอยู่นี่

ชยันต์ย้ายดำรงตำแหน่งผู้ว่านครสวรรค์แจงยินดีช่วยเหลือชาวร้อยเอ็ดเสมอใจยังอยู่นี่

/สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด/09570579184-ข่าว

เมื่อเช้าวันนี้ 07.30 น. ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ต.ในเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ทพ.ญ.ศิริรัตน์ ศิริมาศ นายกเหล่ากาชาดร้อยเอ็ด ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ โดยมีนายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ องค์กร พ่อค้า ประชาชน ร่วมแสดงความยินดี มอบของที่ระลึก ดอกไม้ ถ่ายรูป เป็นที่ระลึก ผู้เข้าร่วม อาทิ นายชนาศ ชัชวาลวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายชูศักดิ์ ราชบุรี ปลัดจังหวัดร้อยเอ็ด นายสนอง ดลประสิทธิ์ หน.สนง.ร้อยเอ็ด นายสานิต ว่องสัธนพงษ์ อดีตส.ส.ร้อยเอ็ด นายเอกภาพ พลซื่อ นายก อบจ.ร้อยเอ็ด พ.ต.อ.จรูญ นวมทอง รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด พ.ต.อ.เนติวัฒน์ จันทรา ผกก.สภ.เมืองร้อยเอ็ด องค์กร อาทิ นายสถาพร มงคลศรีสวัสดิ์ นางจวงจิรา สุริยวนากุล ประชาสัมพันธ์จังหวัดรร้อยเอ็ด สวท.ร้อยเอ็ด

และสื่อมวลชนร้อยเอ็ด พร้อมนี้ผู้ว่าฯชยันต์ ได้มอบองค์พระเป็นของที่ระลึก
นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวอำลาว่า.-เดินทางล่วงหน้าเริ่มทำงาน1ตค64ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาส่งให้กำลังใจส่งกังใจมา ถือว่าผมย้ายไป ในส่วนตัวถือว่าเป็นชาวร้อยเอ็ด ทุกเดือนจะกลับมาพาภรรยามาเยี่ยมแม่ ขอฝากหลายๆสิ่งไว้กับนายก อบจ.ท่าน ดร.เอกภาพ พลซื่อ ท่านสานิต ว่องสัธนพงษ์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว ร้อยเอ็ดหลังรับมือกับโควิดต่อไปจะมีผ่อนคลายมาตรการ จะมีส่งเสริมการท่องเที่ยวร้อยเอ็ดมีพื้นฐานดีทุกคนเข้าใจในการปฏิบัติตัว หากมีอะไรผมช่วยได้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา ทางโทรศัพท์ เฟซบุ๊ค ไลน์ สามารถเข้าถึงผมทุกสื่อ อย่าได้เกรงใจ ผมชยันต์ ยังเป็นคนร้อยเอ็ด สุดท้ายอำนวยอวยพรให้กับผู้มาส่ง ต่อมาได้สักการะพระภูมิเจ้าที่ นั่งรถตู้ส่วนตัวสีขาวป้ายแดง ถ-2495 กรุงเทพมหานคร พร้อมคณะออกเดินทางไปยัง จังหวัดนครสวรรค์

/สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด/09570579184-ข่าว

ศรีสะเกษ เสื่อม !! กำนันเฒ่าวัย 57 ปี สุดวิปริต ลวงเหลนวัย 15 ปี เข้ารีสอทร์ทถ่ายคลิปแบล็คเมย์ แม่ร้องสื่อนานเกือบครึ่งปีคดีไม่คืบ

ศรีสะเกษ เสื่อม !! กำนันเฒ่าวัย 57 ปี สุดวิปริต ลวงเหลนวัย 15 ปี เข้ารีสอทร์ทถ่ายคลิปแบล็คเมย์ แม่ร้องสื่อนานเกือบครึ่งปีคดีไม่คืบ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 ก.ย. น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี พร้อมด้วย น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี บุตรสาว ซึ่งยังเรียนอยู่ชั้น ปวช.ปี 3 สถาบันแห่งหนึ่ง ชาว อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เข้าร้องทุกข์กับผู้สื่อข่าวว่า บุตรสาวตน คือ น.ส.บี ถูก นายเขียว หรือกำนันเขียว (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี กำนันตำบลแห่งหนึ่ง ใน อ.ขุนหาญ ลวงไปข่มขืนกระทำชำเราที่รีสอร์ท และได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.ขุนหาญ เมื่อเดือน พ.ค. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้เวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งปีแล้วคดีไม่คืบหน้า
น.ส.เอ เล่าว่า ตนมีสามีและลูก 2 คน เป็นชาย 1 คน อายุ 3 ขวบ และ หญิง 1 คน อายุ 17 ปี เมื่อช่วงประมาณปี 2562 ขณะที่ น.ส.บี อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ได้มี นายเขียว ซึ่งเป็นเครือญาติและมีบ้านอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มีตำแหน่งเป็นกำนัน และมีภรรยาแล้ว ได้ออกอุบายชักชวน น.ส.บี ไปเกี่ยวหญ้าที่สวน โดยบอกว่าจะมีน้องชายและแม่ออกไปด้วย จากนั้น น.ส.บี จึงยอมขึ้นรถไปด้วย เมื่อขับรถออกจากบ้านไปได้ไม่นาน กำนันเขียว ได้หยิบขวดน้ำดื่มยื่นให้ น.ส.บี พร้อมกำชับให้ดื่มน้ำ เมื่อ น.ส.บี ได้ดื่มน้ำไปแล้ว ได้มีความรู้สึกง่วงนอนสะลึมสะลือ จากนั้นก็หลับไปไม่รู้ตัว และมารู้สึกตัวอีกทีปรากฏว่ามานอนเปลือยกายอยู่ในรีสอร์ทพร้อมกับกำนันเขียว ซึ่งกำนันเขียว ได้พูดจาข่มขู่ไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกใคร ไม่เช่นนั้นจะนำคลิปที่แอบถ่ายไว้ขณะร่วมเพศ ไปประจานให้อับอาย ซึ่ง น.ส.บี รู้สึกช็อกร้องไห้และหวาดกลัวพูดอะไรไม่ออก โดยหลังจากนั้นมา กำนันเขียว ก็ใช้คำขู่เดิมเพื่อขอร่วมหลับนอนกับ น.ส.บี มานานเกือบ 2 ปี ด้วยความเป็นแม่ตนรู้สึกถึงความผิดปกติของลูก เพราะค่อนข้างซึม เงียบเหงา พูดน้อยและไม่ค่อยร่าเริง จึงพยายามเค้นถามแต่ น.ส.บี ก็บอกว่า ไม่มีอะไร
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค. เวลาประมาณ 09.00 น. ขณะที่ น.ส.บี กำลังฝึกงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ใน อ.ขุนหาญ กำนันเขียว ได้โทรศัพท์มาชักชวนไปรีสอร์ท โดยนัดพบกันเวลา 13.00 น. เมื่อถึงเวลา กำนันเขียว ได้ขับรถยนต์มาจอดรับแล้วพาไปเข้ารีสอร์ท ในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จากนั้นได้กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ในขณะนั้น น.ส.บี ทนพฤติกรรมของ นายเขียว ไม่ไหวและอยากหลุดพ้นออกจากวงจรอุบาทนี้ เมื่อรู้พิกัดที่ตั้งรีสอร์ทแล้ว น.ส.บี จึงได้โทรศัพท์มาแจ้งให้ตนไปช่วยเหลือ เมื่อไปถึงที่รีสอร์ทดังกล่าว ถึงกับช็อกเมื่อพบว่า กำนันเขียว อยู่กับลูกสาวตนในห้องสองต่อสอง ไม่คาดคิดว่าคนใกล้ตัวและยังเป็นเครือญาติกัน จะทำร้ายกันได้ลงคอขนาดนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งหลาน เหลน โดย กำนันเขียว กล่าวแต่เพียงว่าขอโทษ พร้อมหันไปต่อว่า น.ส.บี ว่า “ไม่น่าทำกับตาอย่างนี้ โทรไปบอกแม่ทำไม”
จากนั้นตนได้พาลูกสาว ไปตรวจภายในที่ รพ.ขุนหาญ เพื่อเป็นหลักฐาน และเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ขุนหาญ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายเขียว จนถึงที่สุด แต่แล้วเวลาก็ผ่านเลยไปจนเกือบครึ่งปีแล้ว เรื่องดังกล่าวยังไม่คืบหน้า ประกอบกับ กำนันเขียว ยังมีพฤติกรรมเรื่องเพศบ่อยครั้ง และมีเรื่องลักษณะนี้อยู่เป็นประจำ จึงได้เข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชนเพื่อเป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือต่อไป.

*************
ข่าว/ภาพ…… บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

โจรใต้ดักซุ่มยิงชุดปฏิบัติการพิเศษ ตชด.44เจ็บ2นายหลังสับเปลี่ยนกำลังจากปิดล้อมที่บาเจาะ

นราธิวาส/ข่าว-นูอารีซ๊ะ ยะยือริ

โจรใต้ดักซุ่มยิงชุดปฏิบัติการพิเศษ ตชด.44เจ็บ2นายหลังสับเปลี่ยนกำลังจากปิดล้อมที่บาเจาะ

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 29 ก.ย. 64 พ.ต.อ.ชาตรื รัตนคช ผกก.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามดักซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยเฉพาะกิจ ตชด.ที่ 44 หรือ ชุดเดลต้า ที่บริเวณเนินเขาบ้านตายา ม.1 ต.สุวารี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จึงสั่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบที่บริเวณริมถนนมีปลอกกระสุนปืนสงคราม อา.ก้า.และเอ็ม.16 ตกอยู่จำนวน 25 ปลอก และผิวถนนมีร่องรอยถูกกระสุนปืนจำนวนหลายจุด นอกจากนี้จากการตรวจสอบที่บริเวณเนินดิน ซึ่งสูงจากผิวถนนประมาณ 4 เมตร เจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืนชนิดและขนาดเดียวกันตกอยู่ที่พงหญ้าจำนวนกว่า 10 ปลอก และมีร่องรอยเท้าเหยียบย่ำต้นหญ้าราบเรียบเป็นวงกว้างและก้นบุหรี่จำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทราบว่า ร.ต.อ.นิพนธ์ อ่อนรักษ์ หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยเฉพาะกิจ ตชด.ที่ 44 ได้นำคนเจ็บส่งรักษาที่โรงพยาบาลรามัน จ.ยะลา อย่างเร่งด่วนแล้ว ทราบชื่อ คือ 1. ด.ต.วิเชียร จันทรัตน์ ซึ่งถูกกระสุนปืนที่บริเวณสะโพกขวา 2. ส.ต.อ.ธนพงษ์ อินนอก ถูกกระจกรถยนต์บาดที่บริเวณข้อมือขวา ส่วนรถยนต์ได้รับความเสียหาย 2 คัน ซึ่งจอดอยู่ที่โรงพยาบาลรามัน คือ รถยนต์กระบะโตโยต้า ทะเบียน ตราโลห์ 40508 ซึ่งถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวงณกระจกด้านคนขับเป็นรูพรุน 2. รถยนต์เอนกประสงค์ยี่ห้อมิตซูบิซิ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณกระจกหน้า จำนวนหลายรู เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐาน

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ร.ต.อ.นิพนธ์ อ่อนรักษ์ หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยเฉพาะกิจ ตชด.ที่ 44 ได้นำกำลังร่วม 3 ชป.มาสนับสนุนการปิดล้อมตรวจค้นป่าเสม๊ดบ้านฮูแตยือลอ ม.6 ต.บาเร๊ะใต้ เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา และในวันนี้ได้มีการสับเปลี่ยนกำลัง ร.ต.อ.นิพนธ์ หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยเฉพาะกิจ ตชด.ที่ 44 จึงได้นำกำลังกลับที่ตั้ง ซึ่งอยู่บ้านบุดี อ.เมือง จ.ยะลา ด้วยการนั่งโดยสารรถยนต์ จำนวน 3 คัน ขับตามกันมาเป็นขบวน เมื่อถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายซึ่งซุ่มอยู่บนเนินดินสูง ได้ใช้อาวุธปืนสงคราม อา.ก้า.และเอ็ม.16 ยิ่งถล่มใส่รถยนต์คันที่ 1 และ 2 จำนวนหลายสิบนัด จนเสียงปืนสนั่นหวั่นไหว จากนั้นพลขับรถยนต์ทั้ง 3 คัน ต่างเร่งเครื่องยนต์หลบหนี แล้วคนร้ายที่อยู่บนเนินดินจำนวนหนึ่ง ได้ลงมาบนถนนแล้วใช้อาวุธปืนสงคราม อา.ก้า.และเอ็ม.16 ยิงไล่หลังรถยนต์กระบะของเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะหลบหนีไป หลังจากนั้นเมื่อพ้นวิถีกระสุนปืนของคนร้าย เจ้าหน้าที่ได้จอดรถพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ จึงได้รีบขับรถยนต์ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลรามันอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รือเสาะ ได้รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่ที่ไล่ล่าสะกดดันกองกำลังติดอาวุธปืนที่ป่าเสม็ดบ้านฮูแตยือลอ อ.บาเจาะ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจ

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com