google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

คณะผู้แทนรัฐสภาไทยเข้าร่วมการประชุมระดับโลกของภาครัฐสภาว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นวันแรก

“คณะผู้แทนรัฐสภาไทยเข้าร่วมการประชุมระดับโลกของภาครัฐสภาว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นวันแรก”

วันที่ 28 กันยายน 2564 เวลา 15.00 นาฬิกา คณะผู้แทนรัฐสภาไทย ประกอบด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ สมาชิกวุฒิสภา นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ สมาชิกวุฒิสภา นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมการประชุมระดับโลกของภาครัฐสภาว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1 (First Global Parliamentary Meeting on Achieving the SDGs) เป็นวันแรก โดยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสหภาพรัฐสภา (IPU) และสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 28-30 กันยายน 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาครัฐสภาในการติดตามและขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2030 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากรัฐสภาประเทศสมาชิกจำนวนกว่า 134 คน ในการนี้ นางสาวเพชรดาว โต๊ะมีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะสมาชิกคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของสหภาพรัฐสภาได้เข้าร่วมการประชุมตามคำเชิญของ IPU ด้วย
.
การประชุมเริ่มต้นขึ้นโดย Mr. Duarte Pacheco ประธานสหภาพรัฐสภา กล่าวเปิดการประชุม พร้อมทั้งขอบคุณสภาผู้แทนราษฎรสาธารณรัฐอินโดนีเซียที่ร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมที่สำคัญในครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของภาครัฐสภาในการร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเครื่องมือด้านนิติบัญญัติอย่างจริงจัง โดยในวันแรกของการประชุมฯ แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
-ช่วงที่ 1 ภายใต้หัวข้อ สมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในยุคโควิด-19 อย่างไร (How are parliaments contributing to the realization of the SDGs during the COVID-19 pandemic?) เริ่มต้นขึ้นด้วยการนำเสนอของ Ms. Karin Jabre ผู้อำนวยการด้านโครงการของสหภาพรัฐสภา ซึ่งกล่าวถึงข้อท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในปัจจุบัน พบว่าจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งมีระยะเวลายาวนานกว่า 2 ปี ก่อให้เกิดการชะงักงันทางเศรษฐกิจซึ่งซ้ำเติมให้อัตราความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด ทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นเหตุให้การดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดความล่าช้าออกไปอีก และต้องอาศัยความร่วมมือในการติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนจากภาครัฐสภาอย่างจริงจัง ทั้งนี้ สหภาพรัฐสภาได้กล่าวชื่นชมรัฐสภาไทยที่ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติและการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เพื่อเป็นกลไกในการติดตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ในการนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ร่วมอภิปรายต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนฯ อาทิ การมีส่วนร่วมของภาครัฐสภาในการจัดทำรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติโดยสมัครใจ ปี 2564 (Voluntary National Review : VNR) การติดตามตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมารัฐสภาไทยได้เห็นชอบงบประมาณแผ่นดินคิดเป็นร้อยละ 9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เพื่อสนับสนุนในด้านดังกล่าวโดยไม่ละเลยกลุ่มเปราะบาง
– ช่วงที่ 2 หัวข้อ ไม่ทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลัง: เราทำตามสัญญาหรือไม่ (“Leave no one behind”: Are we keeping the promise?) Mr. Fernand de Varenne ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยชนกลุ่มน้อย ได้กล่าวถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสตรีกลุ่มผู้เปราะบาง และชนกลุ่มน้อย ซึ่งถูกเลือกปฏิบัติมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความสามารถในการจ้างงานที่ลดลงของภาคเอกชน รวมถึงการได้รับค่าจ้างราคาถูกจากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

ที่ประชุมได้มีการอภิปรายกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับการยกระดับสถานะของสตรี และกลุ่มเปราะบางให้มีความเท่าเทียมทั้งในด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการนี้สมาชิกรัฐสภา สาธารณรัฐเม็กซิโก ได้ยกตัวอย่างความพยายามในการออกกฎหมายของประเทศเกี่ยวกับการยกเว้นให้การรับโทษจำคุกของสตรีในกรณีลหุโทษหรืออันมีเหตุมาจากการกระทำความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น
-ช่วงที่ 3 หัวข้อโควิด-19: การลงทุนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและการเตรียมความพร้อมฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (COVID-19: A wakeup call to make investment in universal health coverage and health emergency preparedness a priority) Mr. Tedos Adhanom Ghebreyesus เลขาธิการองค์การอนามัยโลก ได้กล่าวถึง การกระตุ้นจิตสำนึกของรัฐสภาประเทศสมาชิกในการออกกฎหมายที่ส่งเสริมการลงทุนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือการแพร่ระบาดใหญ่ครั้งใหม่ในอนาคต ซึ่งภาครัฐสภาเป็นความหวังเดียวของประชาชนในการทำให้เรื่องดังกล่าวมีผลทางกฎหมายอย่างจริงจังอันจะเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติโดยรวม ในการนี้ นางสาวเพชรดาวโต๊ะมีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะคณะที่ปรึกษาสหภาพรัฐสภาด้านสาธารณสุข ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์ COVID-19 ของไทย ต่อที่ประชุมผ่านกระดานข้อความ (Chat) โดยยกตัวอย่างกรณีพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของประเทศไทยเพิ่งประกาศใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้จัดสรรงบประมาณในวงเงิน 4,215 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ที่เป็นพื้นฐานหลักของการให้บริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพทั่วประเทศ นอกจากนี้ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19 ประเทศไทยยังได้มีการจัดสรรวัคซีน ยา ชุดทดสอบ และเวชภัณฑ์สำหรับ COVID-19 และประชาชนได้รับสิทธิตรวจรักษาโควิด-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนแจกจ่ายชุดทดสอบแอนติเจน (ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด ไปยังโรงพยาบาลและร้านขายยาทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงในภูมิลำเนาของตนได้โดยง่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจน การจ่ายเงินชดเชยโดย สปสช. ให้แก่ประชาชนผู้มีอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน โควิด-19 ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนชายขอบและกลุ่มเปราะบางจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ภาพ/ข่าว ฤทธิรณ ปัญญากาบ ทีมข่าวไทยเกอร์นิวส์ รัฐสภา รายงาน

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com