google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

ศรีสะเกษ !! คาร์ม็อบกว่า 1,000 คันชุมนุมบีบแตรขับไล่นายกรัฐมนตรี ขณะที่ ผกก.สภ.เมืองเผยการชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ศรีสะเกษ !! คาร์ม็อบกว่า 1,000 คันชุมนุมบีบแตรขับไล่นายกรัฐมนตรี ขณะที่ ผกก.สภ.เมืองเผยการชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 7 ส.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณถนนหน้าสวนสาธารณะมารีหนองแคน ต.หนองครก อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ได้มีกลุ่มคาร์ม็อบ จำนวนประมาณ 80 คัน มารวมตัวกันเพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาล โดยมีการจัดทำป้ายต่าง ๆ โจมตีการทำงานบริหารประเทศของรัฐบาลนำเอามาติดข้างรถและถือบนรถยนต์รวมทั้งรถจักรยานยนต์ จากนั้น ขบวนคาร์ม็อบซึ่งในช่วงแรกเป็นขบวนรถยนต์ทั้งรถเก๋งรถปิคอัพ รถจักรยานยนต์ ได้เคลื่อนขบวนออกไปตามถนนกสิกรรม ผ่านไปยังถนนวันลูกเสือ ถนนกวงเฮง เลี้ยวซ้ายไปยังถนนขุขันธ์ ออกไปสู่ถนนอุบล ผู้มาร่วมชุมนุมที่อยู่บนรถต่างพากันชู 3 นิ้ว ไปตามถนน ซึ่งตาม 2 ข้างทางที่ขบวนคาร์ม็อบเคลื่อนขบวนรถบีบแตรชุมนุมผ่านไป จะมีประชาชนชาวศรีสะเกษให้ความสนใจ พากันนำเอาโทรศัพท์มาถ่ายภาพและมีบางส่วนพากันยืนชู 3 นิ้วเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการร่วมชุมนุมด้วย และเมื่อขบวนคาร์ม็อบมาถึงบริเวณสามแยกนิกรมอเตอร์ทางแยกไปทางถนนทองมาก ปรากฏว่า มีขบวนคาร์ม็อบรถจักรยานหลากหลากประเภท จำนวนประมาณ 1,000 คันพากันบีบแตรเบิ้ลเครื่องยนต์เสียงดังกึกก้องบริเวณใกล้เคียงรอขบวนรถยนต์อยู่ และเมื่อขบวนคาร์ม็อบรถยนต์มาใกล้จะถึง ขบวนคาร์ม็อบรถจักรยานยนต์ ได้พากันเร่งเครื่องเคลื่อนขบวนนำหน้าออกไปก่อนเต็มถนนทองมาก และได้พากันมาจอดอยู่ที่บริเวณถนนทองมากก่อนถึงอาคารพลศึกษาวีสมหมาย ซึ่งโรงพยาบาลสนามรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยมีรถนำขบวนติดเครื่องเสียงมาจอดและแกนนำได้ปราศรัยกับกลุ่มคาร์ม็อบที่มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ จนกระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น. แกนนำคาร์ม็อบจึงได้ประกาศยุติการชุมนุมให้คาร์ม็อบแยกย้ายกันกลับไป โดยมี พล.ต.ต.สันติ เหล่าประทาย ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ นำกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.สภ.เมืองศรีสะเกษมาดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่

นายพรสิทธิ์ รักษาทรัพย์ แกนนำคาร์ม็อบในครั้งนี้ กล่าวว่า การจัดคาร์ม็อบครั้งนี้ เป็นการจัดคาร์ม็อบครั้งแรกของ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งปรากฏว่า มีประชาชนชาวศรีสะเกษพากันนำเอารถยนต์ รถจักรยานยนต์ มาร่วมขบวนชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก โดยในการจัดชุมนุมคาร์ม็อบที่จะจัดครั้งต่อไปจะมีประชาชนชาวศรีสะเกษมาร่วมชุมนุมคาร์ม็อบมากกว่านี้อีก ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้เพื่อต้องการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากว่า บริหารประเทศผิดพลาดล้มเหลวและไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เป็นการแสดงออกทางการเมืองเพียงเล็กน้อย ไม่มีข้อความหมิ่นเหม่ที่จะเป็นการก้าวล่วงสถาบัน หรือว่ามีทรัพย์สินของทางราชการหรือว่าทรัพย์สินของบุคคลใดได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขต ได้รับการประสานงานจากแกนนำม็อบครั้งนี้ด้วยดีทำให้การชุมนุมคาร์ม็อบไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น

*****************
ข่าว/ภาพ…… บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

กระหึ่มนราฯคาร์ม็อบเคลื่อนพลไล่บิ๊กตู่ชู3นิ้วตลอดเส้นทางที่ม็อบเคลื่อนรอบตัวเมือง

นราธิวาส/ข่าว-นูอารีซ๊ะ ยะยือริ

กระหึ่มนราฯคาร์ม็อบเคลื่อนพลไล่บิ๊กตู่ชู3นิ้วตลอดเส้นทางที่ม็อบเคลื่อนรอบตัวเมือง

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 7 ส.ค. 64 ที่บริเวณหน้าสวนกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส มีการรวมตัวของประชาชน เยาวชนและนักศึกษา ประมาณ 200 คน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่นับถือศาสนาพุทธและมุสลิม เขียนคำอัดอั้นในป้ายผ้า และกระดาษ A4 อาทิข้อความว่า ประยุทธ์ออกไป ฉันเกิดในประเทศที่พูดความจริงไม่ได้ เรื่องเลวทำได้ดี เรื่องดีทำได้แล้ว เพื่อแสดงจุดยืนขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมใช้เครื่องโทรโข่งในการเป่าประกาศการบริหารงานของรัฐบาลล้มเหลว แถมทั้งระบบเศรษฐกิจ และการป้องกันเชื้อโรคโควิด-19 ไม่ทั่วถึง ทำให้มีประชาชนล้มตายจำนวนมาก

ก่อนที่จะมีการขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์เวียนรอบเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส แล้วได้มีการบีบแตรรถตะโกนความคับข้องใจและชูสามนิ้วตำโกน ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกไป พร้อมส่งเสียงตะโกนขับไล่ พล.ประยุทธ์ โดยระหว่างทางมีการตอบรับจากประชาชนที่อยู่ 2 ฝั่งถนน 2 ฝ่าย คือ 1.ฝ่ายร่วมชู 3 มิ้ว พร้อมส่งเสียงร้องตะโกนขับไล่ด้วย และฝ่ายที่ 2. เป็นกลุ่มชาวบ้านที่อยู่เฉยๆไม่แสดงออก เพียงแต่มองขบวนจนลับสายตา

ร้อยเอ็ด/… ชาวบ้านขับไล่ ปลัด อบต.หนองตาไก้ อ.โพธิ์ชัย เหตุ-ปลัดคืนเงินงบอุดหนุนเฉพาะกิจ จากกรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ขาดโอกาสไม่ได้รับการพัฒนา

ร้อยเอ็ด/…
ชาวบ้านขับไล่ ปลัด อบต.หนองตาไก้ อ.โพธิ์ชัย เหตุ-ปลัดคืนเงินงบอุดหนุนเฉพาะกิจ จากกรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ขาดโอกาสไม่ได้รับการพัฒนา

วันที่ 4 ส.ค.2564 ที่หน้าสำนักงาน อบต.หนองตาไก้ ต.หนองตาไก้ อ.โพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด สมาชิก.อบต/กำนัน/ผญบ/ชาวบ้านตำบลหนองตาไก้กว่า 50 คน รวมตัวประท้วงขับไล่ ปลัด อบต. ให้ออกจากพื้นที่
นายสุวัฒน์ ปิ่นละออ ประธานสภาอบต.หนองตาไก้ อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด ระบุ…ความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไข 1/.เรื่องศูนย์พักคอยผู้สัมผัสเสี่ยงโควิดประจำตำบล ไม่เคยดูแล 2/.มิหนำซ้ำปลัด อบต.ยังส่งคืนเงินงบอุดหนุนเฉพาะกิจ จากกรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่นที่คณะกรรมการกระจายอำนาจฯ ที่มีมติเห็นชอบแนวทางจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔

โดยปลัด อบต.อ้างเหตุผลว่าไม่มีในแผนพัฒนาท้องถิ่น
สมาชิกอบต.ผญบ.หมู่6/7/8/9 ตำบลหนองตาไก้ อ.โพธิ์ชัย ตัวแทนชาวบ้านยังกล่าวเพิ่มเติมว่าโครงการได้มีในแผนประจำหมู่บ้าน เสนอผ่านอำเภอ/จังหวัดจนได้รับอนุมัติจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีหนังสือแจ้งให้อบต.หนองตาไก้เร่งดำเนินการตามโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ทันตามเวลาที่ทางราชการกำหนดคือภายใน เดือนกัยยายน พ.ศ.2564 จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ขาดโอกาสไม่ได้รับการพัฒนา….

.
ดำเนิน พรมไชยา/รายงาน

ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี สนธิกำลังปราบปรามขบวนการส่งออกไม้พะยุงข้ามชาติ

ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี สนธิกำลังปราบปรามขบวนการส่งออกไม้พะยุงข้ามชาติ

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 พันเอก นิสิต สมานมิตร ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี ได้จัดชุดเฉพาะกิจ ร่วมกับจนท.ฝ่ายปกครอง อำเภอขุนหาญจ.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา และหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ อ.ขุนหาญ ร่วมกันเข้าจับกุมขบวนการลักลอบขนไม้พะยุง เพื่อนำส่งออกไปยังประเทศลาว จากข้อมูลด้านการข่าว สืบทราบว่า ได้มีรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 70-4120 มหาสารคาม ได้ขับรถเข้ามาในพื้นที่ บ้านขุนหาญ ต.โพธิ์กะสังข์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เพื่อมารับไม้พะยุง ไปส่งให้กับนายทุนชาวลาว

โดยใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ ผลการปฏิบัติงาน สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย คือนายอุทัย เทียบหนู อายุ 50 ปี ชาว ตำบลโนนแดง อ.บรบือ จ.มหาสารคาม พร้อมด้วยของกลางเป็นไม้พะยุง จำนวน 66 ท่อน/เหลี่ยม จึงได้แจ้งข้อหา มีไม้หวงห้ามไม้พะยูงไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย จับกุมจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.กันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ และนำไม้ของกลางไปเก็บไว้ที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ศก.1 อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ

************
ข่าว/ภาพ…… บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 84) “ก้าวข้ามความแตกแยก ข้อเสนอจากงานวิจัย”

รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 84) “ก้าวข้ามความแตกแยก ข้อเสนอจากงานวิจัย”

เมื่อกลางปี 2563 คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้จัดตั้งคณะทำงานชุดหนึ่งขึ้นมาทำการศึกษาพิจารณา “โครงการประมวลข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ปรองดองสมานฉันท์”

ประเด็นนี้ นอกจากมีสถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยกทางสังคมอันเนื่องมาจากการต่อสู้ระหว่างขั้วการเมืองที่เป็นปัญหาเรื้อรังเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว ยังเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ในประเด็นที่ 2 “กลไกการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีและการรู้รักสามัคคีของสังคมไทย”

คณะกรรมาธิการฯเห็นพ้องกันว่า เพื่อให้การพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความต่อเนื่อง ยั่งยืน และเกิดเสถียรภาพทางการเมือง จึงมีความจำเป็นที่ต้องทำให้ประชาชนมีความรู้รัก-สามัคคี-ปรองดอง อยู่ร่วมกันโดยสันติ ยอมรับและเคารพในความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยสุจริต

นพ.พลเดช ปิ่นประทีป / 30 ก.ค. 2564

อ่านรายละเอียด

ทะลุฟ้า จัดม็อบหน้าทำเนียบ แห่เทียนพรรษา ซัดรัฐล้มเหลว เผาหุ่นฟางคนในทำเนียบ แบบจัดเต็ม

ทะลุฟ้า จัดม็อบหน้าทำเนียบ แห่เทียนพรรษา ซัดรัฐล้มเหลว เผาหุ่นฟางคนในทำเนียบ แบบจัดเต็ม

.
นายจตุภัทร์ บุญภัทรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน และนักขับขี่รถจักรยานยนต์ ฮาร์ลีย์ เดวิดสัน ต้านนายกรัฐมนตรี รวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่ในช่วงบ่าย โดยมีกำหนดเคลื่อนขบวนไปยังที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่บริหารงานในสถานการณ์โควิดที่ล้มเหลว
.
บรรยากาศเมื่อเวลา 16.01 น. ขบวนถึงแยกอุรุพงษ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ยืนดูแลการจราจร
.
เวลา 16.06 น. ขบวนถึงแยกยมราช เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแนวสกัด 2 ชั้น โดยแนวที่ 2 เป็นตำรวจควบคุมฝูงชน ไม่ให้มุ่งหน้าไปทางหลานหลวง
.
เวลา 16.07 น. ทะเบียนรถจักรยานยนต์นำหน้าถึงแยกนางเลิ้ง ขณะที่ขบวนนางรำยังคงหยุดอยู่ที่แยกยมราช

.
เวลา 16.10 น. ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งตู้คอนเทนเนอร์ 2 ชั้นพร้อมจอดรถประกาศ และรถฉีดน้ำ ขณะที่ขบวนฮาร์เลย์ ซึ่งนำมาก่อน ต่างเบิ้ลเครื่อง และบีบแตรสนั่น กลบเสียงเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังอ่านประกาศ ให้ยุติการชุมนุม เนื่องจากสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค โดยประชาชนยังคงส่งเสียงไม่สนใจประกาศ ด้านสมาชิกทะลุฟ้า เดินเข้าไปเจรจาขอให้ผู้ชุมนุมถอยร่นกลับไปยังแยกนางเลิ้ง
.
ผู้ชุมนุมปักหลักบริเวณหน้าพาณิชยพระนครทำกิจกรรมหน้าแนวรั้วของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสลับกันขึ้นปราศรัยและทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เช่นการสาดสีเทสี การนำผ้าอนามัยที่มีเลือดมาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับผ้าอนามัยที่จะต้องเป็นรัฐสวัสดิการ การเผาหุ่นฟาง เป็นต้น
.
เวลา 17.45 นายจตุภัทร ประกาศยุติการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จตุภัทรหรือ ไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า วันนี้เรามาได้แค่นี้ แต่วันหน้าเราจะสัญญาว่าจะมาไกลมากกว่าเดิม ขอขอบคุณมวลชนทุกคนที่มาร่วมกิจกรรม เราเป็นเด็กบ้านนอก แต่เรามาศึกษาการต่อสู้ที่กรุงเทพฯไฟ ขอให้ทุกคนติดตามข่าวสารกิจกรรมต่อได้ที่เพจทะลุฟ้า

TIGER NEWS REPORT

 

(มีคลิป) “มาดามหยก” เอาใจกลุ่มต่างเพศ เน้นดูแลตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา เปิดเวทีสัมนา “Change Together เปลี่ยนไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” เชียงใหม่

“มาดามหยก” เอาใจกลุ่มต่างเพศ เน้นดูแลตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา เปอเวทีสัมนา “Change Together เปลี่ยนไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” เชียงใหม่

“มาดามหยก” เอาใจกลุ่มต่างเพศ เน้นดูแลตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา ตั้งชมรมทุกอำเภอดูแลสุขภาพจิตและร่างกาย พบปัจจุบันมีคนกลุ่มนี้ในประเทศมากกว่า 35 % ที่ต้องได้รับการดูแล ลดปัญหาฆ่าตัวตายจากการถูกบูลลี่

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 11 มี.ค. 66 นางสาวกชพร เวโรจน์ หรือ “มาดามหยก” ประธานที่ปรึกษาพรรครวมแผ่นดิน พร้อมพล.อ.ชัชชัย ภัทรนาวิก หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน พร้อมคณะผู้บริหารพรรค เปิดเวทีสัมมนาร่วมพูดคุยประเด็นหัวข้อ “LGBTQ+ เสรีภาพทางเพศสู่ความหลากหลายอย่างเท่าเทียม” โดยมี ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ ที่ปรึกษาวิชการโครงการ Change Together เปลี่ยนไปด้วยกัน ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์มูลนิธิเอ็มเพลส ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กองประกวดนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจ พร้อมด้วย นายจิตศักดิ์ หลิมภากรกุล (เชฟจีโน่) , เต้ นันทศัย, ตฤณ เศรษฐโชค , ไอยศูรย์ ไมดาน พร้อมด้วยสมาชิกทีม Change Together ได้ร่วมกันจัดเวทีปราศรัย “นโยบายส่งเสริมกลุ่ม LGBIQI+ แบบครบวงจรของพรรครวมแผ่นดิน” ณ ห้องแกรนด์วิว 2 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีกลุ่มประชาชนชาวเชียงใหม่ และกลุ่มคนรักต่างเพศ ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

นางสาวกชพร เวโรจน์ หรือมาดามหยก ประธานที่ปรึกษาพรรครวมแผ่นดิน กล่าวว่า การจัดเวทีในวันนี้เพื่อยืนยันและแสดงถึงนโยบายสิทธิเท่าเทียมกันของ LGBIQI+ อยากให้ทุกคนให้เกียรติซึ่งกันและกัน ลดความเหลื่อมล้ำ พรรคการเมืองอื่นก็มีนโยบายสมรสเท่าเทียม แต่สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการมากกว่าคือ สุขภาพพจิต สุขภาพกาย ที่เราต้องส่งเสริม ต้องช่วยเหลือกลุ่มนี้ตั้งแต่เกิดถึงเสียชีวิต สิทธิการแสดงออก การยอมรับทางสังคม การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นความต้องการที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้แตกต่างจากทุกคน บางคนไม่ต้องการสมรสก็มี

สำหรับการแบ่งเขตการเลือกตั้งของจังหวัดเชียงใหม่ จากเดิม 11 เขต เหลือ 10 เขตนั้น ได้มีการปรึกษาหารือพูดคุยกันแล้ว เขตที่มีการทับซ้อนกันและผู้สมัครที่ไม่ได้ลงก็ยังคงช่วยเหลือกันอยู่ แต่อาจจะเป็นปาร์ตี้ลิส ซึ่งต้องมีการเลือกแบบละเอียดอ่อนนิดหนึ่ง เพราะทั้งสองท่านที่ลงสมัครก็ลงพื้นที่อย่างเข้มข้นมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่ช่วงนี้แต่ทั้งสองท่านก็ยังเป็นคนในพื้นที่ สนิทสนมกับชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริง ก็อาจจะไม่ต่างกับพรรคอื่นเท่าไหร่ ส่วนปัญหาด้านความขัดแย้งภายในพรรคจากการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ของ กกต.นั้น ทางพรรคเราเน้นความปรองดองกันอยู่แล้ว คิดว่าไม่มีปัญหาความขัดแย้ง ทุกคนที่มาอยู่จุดนี้ไม่ไช่มาเพื่อตนเองแต่มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเมืองเชียงใหม่, ภาคเหนือ และประเทศไทยอย่างแท้จริง ซึ่งวันที่ 18 มีนาคม 66 นี้คงจะทราบอย่างชัดเจนเรื่องของการแบ่งเขตพื้นที่การเลือกตั้ง พรรรครวมแผ่นดิน เน้นทันสมัย ไม่ละเลยสิ่งที่คนรุ่นเก่าสร้างมา ไม่ลืมรากเหง้า “ทันสมัย ก้าวหน้า แต่ไม่ก้าวร้าว” อยากผลักดันให้เชียงใหม่เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจท่องเที่ยวพิเศษ ทางพรรคไม่เน้นการแจกเงิน แต่เน้นการสร้างโอกาส สร้างเศรษฐกิจให้มีการเติบโต คนไม่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด เมื่อการท่องเที่ยวเติบโต ก็จะมีโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารที่พัฒนามากขึ้น และจะมีการจ้างงานมากขึ้น การแจกเงินไม่ใช่หนทางแก้ไข เพราะหากแจกหมดแล้วต้องกู้มาแจกอีก แล้วจะกู้มาตลอดไม่ได้ ต้องเน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ระยะยาว ไม่ใช่เน้นการแจกเงินอย่างเดียว

ทางด้าน ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ ที่ปรึกษาวิชการโครงการ Change Together กล่าวว่า กลุ่ม LGBIQI+ นี้ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ พรรคนี้ดูแลตั้งแต่เกิด จนถึงสูงอายุ พรรคอื่นส่งเสริมแต่สมรสเท่าเทียม พรรคเราผลักดันอยู่แล้ว แต่ผมเป็นนักสุขภาพจิตเจอปัญหาของกลุ่ม LGBIQI+ มาเยอะ เด็กพอจำความได้ตั้งแต่เกิดควรมีสิทธิในการเลือกสภาพเพศของตัวเอง ซึ่งพ่อแม่ก็มีความขัดแย้งในใจ มีผลกระทบกับคนกลุ่มนี้จริงๆ รวมไปถึงหญิงข้ามเพศ ชายข้ามเพศ จำเป็นต้องรับประทานและฉีดฮอร์โมนทุก 3 อาทิตย์ ราคา 100 กว่าบาท แต่สิทธิตรงนี้เขาควรได้รับจากรัฐ แต่รัฐไม่สามารถจ่ายให้ได้ ในความเป็นมนุษย์ที่เขาเลือกแล้วว่าจะเป็นอย่างไร แต่จำป็นต้องใช้ยาในการทำนุบำรุงสภาพร่างกายให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น เขาควรได้จากภาครัฐ และในกลุ่มนี้ที่เป็นผู้สูงอายุ ที่มีความเหงา เศร้า กระทั่งคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าอยู่แล้วสังคมก็แปลกแยกไป ทางพรรคมีแนวคิดจะจัดตั้งชมรม LGBIQI+ ของผู้สูงอายุทุกอำเภอ เพราะคนเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญดูแลเฉพาะ จะได้ไม่เหงา ไม่คิดฆ่าตัวตาย เป้าหมายของพรรคคือดูแลทั้งชีวิตไม่ใช่แค่การสมรสเท่าเทียมเดินขนานทุกเพศ ทุกวัยในชุมชน ไม่แตกแยก อาจมีชมรมเกิดขึ้น รวมตัว 10 -20 คน เบื้องต้น มีนักสุขภาพจิตดูแลสุขภาพจิต สุขภาพร่างกาย สภาพสังคม ผลักดันสวัสดิการที่เขาพึงมี ปัจจุบันมีคนที่เป็นเกย์ อย่างเดียวประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของประชาชนทั้งหมด และการเกณฑ์ทหารก็จะพบกลุ่มคนต่างเพศ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรวมกับผู้สูงอายุ LGBIQI+ อีก ทั้งหมดภาพรวมที่เป็นคนต่างเพศมีไม่ต่ำกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป นอกจากนี้อาจมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในทุกอำเภอ เป็นหลักสูตรสำหรับใครที่จะแต่งงาน มีครอบครัว ก่อนจะมีลูกต้องเข้าโรงเรียนนี้ก่อน หากลูกเกิดออกมาแล้วเป็นกลุ่มนี้จะได้มีวิธีดูแลอย่างไร บางอย่่างอาจเหมือนคนทั่วไป บางอย่างอาจแตกต่างออกไป ก็จะได้ทำให้เกิดภาพสังคมที่เท่าเทียมกันไม่กีดกันเด็ก

นายพรชัย จิตนวเสถียร สมาชิกทีม Change Together กล่าวว่า การยอมรับคนกลุ่ม LGBIQI+ ตั้งแต่จำความได้ว่าตนเองเลือกเป็นอะไร จะลดปัญหาของสังคมที่เด็กถูกบูลลี่ การถูกเพื่อนล้อจน้อยใจอาจจะฆ่าตัวตาย ปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะหมดไป จะเกิดผลดีกับประเทศอย่างมากจากกกลุ่ม LGBIQI+ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะมีประสิทธิภาพในการพัฒนาตนเองและพัฒนาประเทศด้วย การดูแลตั้งแต่เด็กที่จำความได้ว่าตนเองเป็นอะไร จนถึงวัยชรา การตั้งกลุ่มดูแลในแต่ละอำเภอเป็นการดูแลอย่างแท้จริงให้เกิดสิทธิประโยชน์ของคนกลุ่มนี้อย่างเท่าเทียม.

ทรงวุฒิ ทับทอง

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com