google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

ก.แรงงาน ร่วมกับ สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน มอบรางวัลใหญ่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C แก่ผู้โชคดีจากสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565

ก.แรงงาน ร่วมกับ สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน มอบรางวัลใหญ่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C แก่ผู้โชคดีจากสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565

วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 09.30 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลใหญ่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C จำนวน 1 คัน ให้แก่ นางวรรทิพย์ วิทยาคม ผู้โชคดีที่ร่วมทำบุญกุศลอุดหนุนสลากบำรุงสภากาชาดไทย “บัตรแรงงานเชิญรับโชค” ประจำปี 2565 ซึ่งกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงานจัดขึ้น โดยมี นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในฐานะนายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติและสักขีพยานด้วย ณ บริเวณโถงชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน

สำหรับในปี 2565 กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน จัดพิมพ์และจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย “บัตรแรงงานเชิญรับโชค” ประจำปี 2565 ซึ่งรายได้จากการจำหน่ายบัตรส่วนหนึ่งจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อานวยการสภากาชาดไทย โดยเสด็จพระราชกุศล และนำมาใช้จ่ายในกิจกรรมสาธารณกุศล ส่วนหนึ่งจัดเป็นทุนการศึกษาให้กับบุตรของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่มีรายได้น้อย ซึ่งสภากาชาดไทย

ได้ทำการหมุนวงล้อออกรางวัลเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2565 ณ เวทีกลาง สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
สำหรับหมายเลขบัตรของผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่
รางวัลที่ 1 รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C จำนวน 1 รางวัล เลขที่ออก 50745
รางวัลที่ 2 สร้อยคอทองคำ หนัก 2 บาท จำนวน 3 รางวัล เลขที่ออก 19182, 54818, 40879
รางวัลที่ 3 สร้อยคอทองคำ หนัก 1 บาท จำนวน 5 รางวัล เลขที่ออก 35944, 51194, 43247, 34361, 49576
รางวัลที่ 4 สร้อยคอทองคำ หนัก 2 สลึง จำนวน 8 รางวัล เลขที่ออก 11906, 21689, 41766, 47814, 43108, 19944, 34961,39607
และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว สร้อยคอทองคำ หนัก 1 สลึง จำนวน 45 รางวัล เลขที่ออก 625
ซึ่งขณะนี้มีผู้โชคดีต่างทยอยมารับรางวัลเกือบครบจำนวนแล้ว

ก.แรงงาน ร่วมกับ สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน มอบรางวัลใหญ่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C แก่ผู้โชคดีจากสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565

ก.แรงงาน ร่วมกับ สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน มอบรางวัลใหญ่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C แก่ผู้โชคดีจากสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2565

วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 09.30 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลใหญ่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C จำนวน 1 คัน ให้แก่ นางวรรทิพย์ วิทยาคม ผู้โชคดีที่ร่วมทำบุญกุศลอุดหนุนสลากบำรุงสภากาชาดไทย “บัตรแรงงานเชิญรับโชค” ประจำปี 2565 ซึ่งกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ สมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงานจัดขึ้น โดยมี นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในฐานะนายกสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติและสักขีพยานด้วย ณ บริเวณโถงชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน

สำหรับในปี 2565 กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับสมาคมแม่บ้านกระทรวงแรงงาน จัดพิมพ์และจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย “บัตรแรงงานเชิญรับโชค” ประจำปี 2565 ซึ่งรายได้จากการจำหน่ายบัตรส่วนหนึ่งจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อานวยการสภากาชาดไทย โดยเสด็จพระราชกุศล และนำมาใช้จ่ายในกิจกรรมสาธารณกุศล ส่วนหนึ่งจัดเป็นทุนการศึกษาให้กับบุตรของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่มีรายได้น้อย ซึ่งสภากาชาดไทย

ได้ทำการหมุนวงล้อออกรางวัลเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2565 ณ เวทีกลาง สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
สำหรับหมายเลขบัตรของผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่
รางวัลที่ 1 รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ New Mazda 2 1.3 C จำนวน 1 รางวัล เลขที่ออก 50745
รางวัลที่ 2 สร้อยคอทองคำ หนัก 2 บาท จำนวน 3 รางวัล เลขที่ออก 19182, 54818, 40879
รางวัลที่ 3 สร้อยคอทองคำ หนัก 1 บาท จำนวน 5 รางวัล เลขที่ออก 35944, 51194, 43247, 34361, 49576
รางวัลที่ 4 สร้อยคอทองคำ หนัก 2 สลึง จำนวน 8 รางวัล เลขที่ออก 11906, 21689, 41766, 47814, 43108, 19944, 34961,39607
และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว สร้อยคอทองคำ หนัก 1 สลึง จำนวน 45 รางวัล เลขที่ออก 625
ซึ่งขณะนี้มีผู้โชคดีต่างทยอยมารับรางวัลเกือบครบจำนวนแล้ว

ยโสธร”กุดชุมจัดแข่งขันกีฬาท้องถิ่นกุดชุมสัมพันธ์เกมประจำปี 2566″

ยโสธร”กุดชุมจัดแข่งขันกีฬาท้องถิ่นกุดชุมสัมพันธ์เกมประจำปี 2566″

ที่สนามโรงเรียนกุดชุมวิทยาคม อำเภอกุดชุมจังหวัดยโสธร 31 มกราคม 2566 เวลา 08.00 น. นายสรวิศ สมพงษ์ นายอำเภอกุดชุม เป็นประธานเปิดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาท้องถิ่น ประจำปี 2566ในการแข่งขันครั้งนี้ นายมงคล ชื่นตา นายกเทศมนตรีตำบลกุดชุมพัฒนาได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์การแข่งขันกีฬาท้องถิ่นกุดชุมสัมพันธ์เกมส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้บริหารข้าราชการและพนักงานท้องถิ่นได้ออกกำลังกาย โดยการเล่นกีฬาซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตที่สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ความร่วมมือ เครือข่ายและการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของชาวอำเภอกุดชุม ซึ่งส่งเสริมให้มีความเข้มแข็งสามัคคีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดงานครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน ขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่น10 แห่งได้แก่เทศบาลตำบลกุดชุมพัฒนา/อบต.ห้วยแก้ง /อบต.โนนเปือย /อบต.กุดชุม/อบต.คำนำสร้าง/อบต.หนองแหน/อบต.นาโส่/อบต.กำแมด/อบต.หนองมี/อบต.โพนงาม มีการแข่งขันกีฬาสากลทั้งหมด 5 ประเภทกีฬาพื้นบ้าน 4 ประเภทรวมเป็น 8 ประเภท ประกอบด้วยฟุตบอลชาย11คน

/วอลเลย์บอลหญิง/เซปักตะกร้อชาย/เปตองชาย/เปตองหญิง กีฬาพื้นบ้านประกอบด้วย แข่งขันชักกะเย่อ ชาย-หญิง/วิ่ง 8 ขา ชาย-หญิง/ตีกอล์ฟคนจนชาย-หญิง/วิ่งผลัดซุปเปอร์แมน ชาย-หญิง ผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดครั้งนี้มีนายสุริยัน ศิริดล พัฒนาการอำเภอกุดชุม นายบวรลักษณ์ ดุสอน ท้องถิ่นอำเภอกุดชุม ตัวแทนผู้กำกับสภกุดชุมและตัวแทนจากหน่วยงานราชการอื่นๆอีกมากมาย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรมครั้งนี้จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 10 แห่ง สร้างมิตรภาพ สร้างสุขภาพ สร้างความสามัคคี

///พลากร แก้วขวัญข้า รายงาน

เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลาร่วมแสดงความยินดีกับนายนริศ ขำนุรักษ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลาร่วมแสดงความยินดีกับนายนริศ ขำนุรักษ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ”

ผู้แทนจุฬาราชมนตรี นำโดย พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ (เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา) เข้าแสดงความยินดีกับ นายนริศ ขำนุรักษ์ ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย อ.อรุณ บุญชม (ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี)

, อ.ประสาน ศรีเจริญ (รองประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี) , นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล (สมาชิกวุฒิสภา) , นายปรีดา เชื้อผู้ดี (ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรี/นายก อบต.ท่าอิฐ) และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เข้าร่วมแสดงความยินดีกับนายนริศ ขำนุรักษ์ ในโอกาสนี้ ณ โรงแรมรีเจนท์ รามคำแหง ซอย 22 กรุงเทพมหานคร

เกษตรจังหวัดนนทบุรี ส่งเสริมกลุ่มยุวเกษตรกรเกษตรภิวัฒน์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) เตรียมความพร้อมเยาวชนสู่ภาคการเกษตร

เกษตรจังหวัดนนทบุรี ส่งเสริมกลุ่มยุวเกษตรกรเกษตรภิวัฒน์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) เตรียมความพร้อมเยาวชนสู่ภาคการเกษตร

นางธมลทัศน์ ทัพพระจันทร์ เกษตรจังหวัดนนทบุรี มอบหมายให้นางสาวภัทรพร สาเทศ รักษาการในตำแหน่ง หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร ดำเนินการจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ Foodtech for The Fure และพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการเบื้องต้น แก่กลุ่มยุวเกษตรกรเกษตรภิวัฒน์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนในระดับอุดมศึกษาในการเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยจัดกระบวนการกลุ่มยุวเกษตรกร ทักษะการบริหารจัดการธุรกิจเกษตร

เพื่อเป็นผู้ประกอบการเบื้องต้น ณ อาคาร CP All Academy สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
โดยสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรเกษตรภิวัฒน์ จำนวน 20 ราย ได้ฝึกปฏิบัติการทำแผนธุรกิจกลุ่มและการตลาด การคิดวิเคราะห์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค มีการนำเสนอผลงานของแต่ละกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนแนวความคิด เสริมสร้างความเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดีแก่สมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกร

ผลการศึกษาชี้ โรงพยาบาลเอกชนยังมีกำไรเฉลี่ยรวม 30.06 เปอร์เซ็นต์ แม้จะเข้าร่วมนโยบาย UCEP ด้านสภาผู้บริโภคเสนอรัฐควบคุมค่ารักษาพยาบาล และปรับเกณฑ์อาการเข้าข่ายฉุกเฉินวิกฤต

ส่งข่าวเพื่อเผยแพร่
จากสภาองค์กรของผู้บริโภค
…..

ผลการศึกษาชี้ โรงพยาบาลเอกชนยังมีกำไรเฉลี่ยรวม 30.06 เปอร์เซ็นต์ แม้จะเข้าร่วมนโยบาย UCEP ด้านสภาผู้บริโภคเสนอรัฐควบคุมค่ารักษาพยาบาล และปรับเกณฑ์อาการเข้าข่ายฉุกเฉินวิกฤต


วันที่ 30 มกราคม 2566 สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเวทีเปิดเผยข้อมูลงานวิจัย “การผลักดันนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสิทธิ “ยูเซป” ขึ้น เพื่อเสนอผลการวิจัยและข้อเสนอแนะต่อนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ในเรื่องสิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ หรือ ยูเซป (UCEP) และหารือแนวทางออกแบบนโยบาย UCEP ให้ครอบคลุมผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างทั่วถึง และทันท่วงที โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามเจตนารมณ์ของโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ในปัจจุบัน

นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ ด้านบริการสุขภาพ กล่าวว่า งานศึกษาเรื่อง ‘กลไกการจ่ายและการควบคุมอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการกรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ และผู้ป่วยฉุกเฉินหลังพ้น 72 ชั่วโมง’ พบว่า โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานครและจังหวัดขนาดใหญ่ เป็นตัวเลือกสำคัญของผู้บริโภคในการใช้บริการเมื่อเกิดความจำเป็น เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐไม่เพียงพอ

และแม้โรงพยาบาลเอกชนจะเข้าร่วมนโยบาย UCEP ยังคงมีอัตราการทำกำไรขั้นต้นของโรงพยาบาลต่ำสุดร้อยละ 7 สูงสุดร้อยละ 50 และมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 30.06 จึงมีเหตุผลเพียงพอที่เชื่อได้ว่าอัตราค่าบริการที่ประกาศใช้ในกรณี UCEP จะช่วยให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถให้บริการได้โดยไม่ขาดทุน และกลไกการจ่ายและการควบคุมอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการกรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและผู้ป่วยหลังพ้นวิกฤต 72 ชั่วโมง ในโรงพยาบาลเอกชนมีความจำเป็น

นอกจากนี้ งานศึกษายังชี้ให้เห็นว่าโรงพยาบาลเอกชนที่มีต้นทุนเฉลี่ยในการดูแลรักษาผู้ป่วย เช่น ค่ายา หรือ ค่ารักษาพยาบาล มากกว่าโรงพยาบาลรัฐถึง 5 เท่า ขณะที่ในความเป็นจริงราคาต้นทุนการจัดซื้อยาระหว่างโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐไม่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ความเชื่อที่ว่าโรงพยาบาลเอกชนจัดซื้อยาได้แพงกว่าโรงพยาบาลของรัฐจึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

จากสถานการณ์การที่ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้สิทธิ UCEP ในโรงพยาบาลเอกชนแล้วถูกเรียกเก็บเงินนั้น จึงนำมาสู่ข้อเสนอของงานวิจัยในสองประเด็น ประเด็นแรกคือข้อเสนอแนะต่อระบบการควบคุมค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน ประเด็นที่สองคือข้อเสนอแนะด้านระบบข้อมูลการควบคุมและการกำหนดราคาการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน
โดยในประเด็นแรกที่เป็นการเสนอเกี่ยวกับระบบการควบคุมค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนนั้น ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมและการกำหนดราคาเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน ที่เป็นกลไกซึ่งมีความจำเป็นเพราะสามารถช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้ โดยเฉพาะในกรณีที่รัฐไม่สามารถจัดให้มีโรงพยาบาลเพื่อรองรับผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ

และตามกลไกในการควบคุมนี้ ได้แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ หนึ่ง การควบคุมราคาการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล โดยประกาศ อัตราค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชน แยกตามรายการค่าบริการ โดยกำหนดราคาโดยใช้หลักการเดียวกับการกำหนดค่าบริการกรณี UCEP และสอง การควบคุมราคาการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล โดยกำหนดราคาเหมาจ่ายรายกลุ่มโรค (DRG)
ส่วนข้อเสนอแนะด้านระบบข้อมูลการควบคุมและการกำหนดราคาการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน มี 3 ข้อ ได้แก่ 1) พัฒนาระบบคลังข้อมูลทางบัญชีที่สำคัญสำหรับกิจการบริการประเภทโรงพยาบาล โดยการแสดงรายละเอียดงบการเงินของธุรกิจประเภทโรงพยาบาล ทุกรายการที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุน และการพัฒนาระบบคลังข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจ 2) พัฒนาระบบคลังข้อมูลผลงานการให้บริการผู้ป่วย ทรัพยากรบุคคล และเครื่องมือแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชน และ 3) พัฒนาระบบคลังข้อมูลการให้บริการผู้ป่วยรายบุคคล และราคาเรียกเก็บของผู้ป่วยที่ไปรับบริการที่โรงพยาบาลเอกชน

ด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงประเด็นการใช้สิทธิ UCEP ว่า ที่ผ่านมามีปัญหา 3 ประการ คือ 1) ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลในภาวะวิกฤต โดยถูกวินิจฉัยว่าไม่ได้ฉุกเฉินจริง คือ ไม่ได้ช็อก หมดสติ ความดันไม่ได้สูงมาก ไข้ไม่ได้สูง หรือบางกรณีอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกรณีฉุกเฉินหรือไม่

2) ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลัง 72 ชั่วโมงที่เข้ารับการรักษาโดยใช้สิทธิ UCEP เนื่องจากพบกรณีที่ผู้ป่วยที่หาเตียงไม่ได้ ส่งตัวไม่ได้ หรือต้องอยู่โรงพยาบาลอีกเพียง 1 – 2 วัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดเข้าควบคุมค่ารักษาพยาบาลหลังพ้น 72 ชั่วโมงของสิทธิ UCEP ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้สภาผู้บริโภคได้เสนอให้กรมการค้าภายในช่วยกำกับดูแลเรื่องดังกล่าว และ 3) การใช้สิทธิ UCEP นั้น จะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในภาวะวิกฤตสีแดงเท่านั้น สิ่งที่ต้องคิดคือจะทำอย่างไรที่จะให้ผู้ป่วยสีส้ม สีเหลือง สามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ด้วย

เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องค่ารักษาพยาบาลว่า หากไม่ควบคุม จนกระทั่งค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนแพงขึ้น ก็จะทำให้ราคาค่าใช้จ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสูงขึ้น และทำให้งบประมาณที่ใช้ในภาพรวมของประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากโรงพยาบาลเอกชนมีราคาค่าใช้จ่ายที่เป็นธรรมก็จะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลรัฐ ที่จะต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมาก และประชาชนที่พร้อมจะไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในเชิงทางเลือก ก็จะสามารถที่จะเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้น การจัดการปัญหาเรื่องสิทธิ UCEP อย่างเป็นระบบ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลดีต่อระบบหลักประกันสุขภาพ และงบประมาณของประเทศด้วยเช่นกัน

“สิ่งที่สภาผู้บริโภคอยากเห็น คือ การทำให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถให้บริการกับกลุ่มคนต่าง ๆ ได้มากขึ้น มีค่ารักษาพยาบาลที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคมากขึ้น ส่วนกรณีผู้บริโภคที่ใช้สิทธิ UCEP ก็ไม่ควรถูกเรียกเก็บเงิน และควรขยายขอบเขตให้ผู้ป่วยสีส้มสามารถใช้สิทธิได้ด้วย รวมถึงประเด็นเรื่องหลังพ้น 72 ชั่วโมง จะบริหารจัดการระบบอย่างไร เพื่อให้ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของแผ่นดิน” สารีระบุ

ขณะที่ อาทิตยา อาษา ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยถึงสถานการณ์และข้อร้องเรียนของผู้บริโภคจากการเข้าไปใช้นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ หรือ สิทธิ UCEP ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ผู้บริโภคพบปัญหาการถูกเรียกเก็บเงินจากการใช้สิทธิ UCEP ในโรงพยาบาลเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งออกเป็นปัญหา 4 ประเภท ได้แก่ 1. โรงพยาบาลไม่ประเมินว่าอาการเข้าข่ายเจ็บป่วยฉุกเฉิน (เกณฑ์การประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉิน Emergency Pre-Authorization : PA) จึงถูกเรียกเก็บเงิน 2. แพทย์ประเมินว่าอาการไม่เข้าเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินและถูกเรียกเก็บเงิน 3. แพทย์ประเมินเข้าเกณฑ์เข้าข่ายฉุกเฉิน แต่ยังถูกเรียกเก็บเงิน และ 4. แพทย์ประเมินว่าอาการเข้าข่ายวิกฤต 72 ชั่วโมง แต่สุดท้ายยังให้ผู้บริโภคจ่ายเงินเอง

อาทิตยา ระบุเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ผู้บริโภคเข้าไม่ถึงการใช้สิทธิ UCEP ได้แก่ 1. อัตราการเบิกจ่ายนโยบายสิทธิ UCEP ของรัฐบาล ไม่สอดคล้องกับต้นทุนของโรงพยาบาลเอกชน 2. แพทย์พิจารณาว่าไม่ใช่อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต เนื่องจากเกณฑ์ PA มีการจำกัดลักษณะของอาการมากเกินไป และ 3. การประชาสัมพันธ์แนวทางการใช้สิทธิ UCEP ยังไม่ทั่วถึงและไม่เพียงพอ

ยกตัวอย่างเช่น กรณีคลอดลูก ที่แม่เด็กตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งระหว่างทางเด็กโผล่หัวออกมาแล้ว เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์ช่วยเหลือจนเด็กคลอดออกมา แต่หลังจาก 5 นาทีต่อมาเด็กเสียชีวิต ซึ่งโรงพยาบาลได้เรียกเก็บเงินจำนวน 25,000 บาท โดยที่เจ้าหน้าที่ว่าไม่ใช่สิทธิฉุกเฉิน หรือกรณีประสบอุบัติเหตุพลัดตกท่อที่ จ.ฉะเชิงเทรา จนทำให้เหล็กที่ท่อเสียบเข้าที่ราวนมด้านซ้าย ผู้ป่วยมีสิทธิบัตรทองแต่ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำกัดจึงถูกส่งตัวไปยังอีกโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลนั้นได้เรียกเก็บเงินค่าเอ็กซเรย์ปอดจำนวน 1,200 บาทด้วย หรือกรณีหมดสติ ระหว่างเดินทางไปวัด ถูกนำส่งโรงพยาบาลตามสิทธิ แต่ถูกส่งไปอีกโรงพยาบาลที่มีประสิทธิภาพการรักษามากกว่า และเมื่อรักษาเสร็จสิ้นได้ถูกเรียกเก็บเงินค่ารถนำส่งจำนวน 4,700 บาท

“นอกจากนี้ยังมีผู้ร้องเรียนเข้ามาอีกด้วยว่าหากไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อนจะไม่ได้รับการรักษา สภาผู้บริโภคเห็นว่าการที่ผู้บริโภคเข้าไม่ถึงสิทธิการรักษาพยาบาลหรือหากรักษาช้า ไม่ทันเวลา อาจส่งผลต่อชีวิตหรืออาจสูญเสียอวัยวะบางอย่างได้ รวมถึงยังสร้างความเสียหายในเรื่องภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่ใช้สิทธิฉุกเฉิน โดยพบว่าผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากการเข้าไปใช้สิทธิ UCEP ตั้งแต่ 1,000 – 100,000 บาท และหากไม่สามารถชำระได้ จะถูกให้เซ็นยินยอมยอมรับสภาพหนี้จากโรงพยาบาลเอกชนที่เข้ารับการรักษาอีกด้วย” อาทิตยา ระบุ

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาองค์กรผู้บริโภคได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพงมาตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่เข้าไปรับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนถูกฟ้องร้องหรือให้เซ็นรับหนังสือยอมรับสภาพหนี้จนเกิดเป็นภาระหนี้สินที่ตามมา กระทั่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่กำหนดราคายา – ค่ารักษาพยาบาลเป็นสินค้าและบริการควบคุม

ระหว่างนั้นสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลเอกชนอีก 41 แห่ง ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยุติประกาศฯ ฉบับดังกล่าว แต่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นร้องสอดเป็นผู้ถูกฟ้องร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าภายใน โดยมองว่าไม่ควรยกเลิกประกาศฯ เพราะจะนำไปสู่ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเมื่อเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชน กระทั่งเมื่อ 14 มิถุนายน 2565 ศาลปกครองสูงสุดได้ยกฟ้องคดีที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนร้องขอเพิกถอนประกาศฯ และทำให้ประกาศควบคุมราคายา-ค่ารักษาพยาบาลต่อไป แต่ทั้งนี้ทุกคนยังต้องติดตามประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งประเด็นการนำมาบังคับใช้ในการกำหนดราคาของสถานพยาบาล

เซอร์ไพร้ส์วันเกิดรองโจ๊กว่าที่ผกก.สภ.อาจสามารถในวันเลี้ยงส่งและสวัสดีปีใหม่ของตำรวจสภ.เมืองร้อยเอ็ด

เซอร์ไพร้ส์วันเกิดรองโจ๊กว่าที่ผกก.สภ.อาจสามารถในวันเลี้ยงส่งและสวัสดีปีใหม่ของตำรวจสภ.เมืองร้อยเอ็ด

/สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด/ข่าว
เมื่อคืนวันนี้ 30 ม.ค. 2566 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ณ ห้องอาหารตุ้มโฮม หน้าร้านอาหารตะวันแดงสาดแสงทอง อ.เมืองร้อยเอ็ด พ.ต.ท.สุดจิต ศรีศิริ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองร้อยเอ็ด นายวีระวิทย์ เนตรขันธ์ ประธานคณะกรรมการ กต.ตร.สภ.เมืองร้อยเอ็ด ประธาน นายสมนึก บุญศรี กรรมการ กต.ตร.สภ.เมืองร้อยเอ็ด เปิดงานเลี้ยงปีใหม่และเลี้ยงส่ง พ.ต.ท.กฤษฎ์ภิวัชร์ ปรีดาพันธุ์(โจ๊ก) ว่าที่ผกก.สภ.อาจสามารถ และในวาระปีใหม่2566 โดยการดำเนินงานของ พ.ต.ท.สุรศักดิ์ อ่อนวิจารย์ รอง ผกก.(อก.)สภ.เมืองร้อยเอ็ด พ.ต.ท.บุญสืบ ไชยน้ำอ้อม สว.(ป)สภ.เมืองร้อยเอ็ด พ.ต.ท.ปฐมพงษ์ พุทธลา สว.(จร)สภ.เมืองร้อยเอ็ด และคณะพร้อมด้วยตำรวจฝ่ายต่างๆผู้บังคับบัญชาและประทวน
พ.ต.ท.สุดจิต ศรีศิริ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองร้อยเอ็ด กล่าวว่า ผกก.โจ๊กเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ โรงพักอาจสามารถเหมาะที่ผกก.โจ๊กสร้างนวัตกรรมใหม่ ให้เกิดขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อให้โลกจดจำ เพราะท่านได้สร้างผลงานให้เราเห็น สภ.เมืองร้อยเอ็ดเป็นสถานที่สร้างสมผลงานที่ดีสำหรับท่านที่จะพัฒนาวงการตำรวจให้ดีต่อไป
พ.ต.ท.กฤษฎ์ภิวัชร์ ปรีดาพันธุ์(โจ๊ก) ว่าที่ผกก.สภ.อาจสามารถ กล่าวว่าถือว่าปีใหม่เราไม่ได้ทานข้าวกัน

วันนี้ถือว่าไม่ใช่งานเลี้ยงแต่เรามานั่งทานข้าวกัน หลายๆท่านที่ให้เกียรติมา สว.จร.ต่อไปเป็นสารวัตรใหญ่ สารวัตรบุญสืบ ไชยน้ำอ้อม มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็น รอง ผกก.แล้ว วันที่ 1ก.พ. ขอเชิญทานกาแฟกันที่ สภ.อาจสามารถ ผมรักพวกเราสัญญาว่าจะกลับมาอยู่กับพรรคเรา ขอสวัสดีปีใหม่กับทุกๆท่าน ขอบคุณที่เซอร์ไรส์ที่จัดงานวันเกิดวันนี้ ผมและภรรยาขอขอบทุกๆท่านครับ
นายวีระวิทย์ เนตรขันธ์ ประธานคณะกรรมการ กต.ตร.สภ.เมืองร้อยเอ็ด กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับท่าน ว่าที่ผกก.สภ.อาจสามารถ ที่เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ เหมือนกับชื่อท่าน เนื่องในวันเกิดท่านวันนี้ ขอให้โชคดีและมีความสุขมากๆครับ

/สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด/0885730542-ข่าว

เลขาธิการ ศอ บต เปิดกิจกรรมสานสัมพันธ์คนไทยในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา

เลขาธิการ ศอ บต เปิดกิจกรรมสานสัมพันธ์คนไทยในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา สร้างความเข้าใจและเชื่อมั่นให้กับชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่

ยะลา -เลขาธิการ ศอ.บต. เปิดกิจกรรมสานสัมพันธ์คนไทยในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา สร้างความเข้าใจและเชื่อมั่นให้กับชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ร่วมในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
กิจกรรมสานสัมพันธ์ พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน เนื่องในโอกาส เฉลิมฉลองเทศกาลวันตรุษจีนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนเป็นการสืบสาน และอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามของวันตรุษจีน เป็นการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลวันตรุษจีน ตลอดจนให้เกิดความตระหนักในคุณค่าของประเพณีและวัฒนธรรมจีนอีกด้วย ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวถือเป็นบทบาทสำคัญที่ทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่ให้ความสำคัญกับทุกเชื้อชาติ ศาสนา และสังคมพหุวัฒนธรรมที่อยู่ในพื้นที่
เช่นเดียวกันกับค่ำคืนวันที่30 มกราคม 2566 เวลา 19.00 น. ที่ ห้องประชุมโรงเรียนจงฝามูลนิธิเบตง เทศบาลเมืองเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมสานสัมพันธ์คนไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สังคมหลากหลายวัฒนธรรม เพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งทาง ศอ.บต. ร่วมกับมูลนิธิสมาคมไทยเชื้อสายจีนในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ร่วมกันจัดขึ้น โดยมี นาวาเอกจักรพงษ์ อภิมหาธรรม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน ศอ.บต. พลตำรวจตรี ปราบพาล มีมงคล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอ เบตง พันตำรวจโท ต่อพันธุ์ ปุสันเทียะ ประธานชมรมชาวไทยเชื้อสายจีนอำเภอเบตง ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ท่ามกลางประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่อำเภอเบตง และชาวจีนจากประเทศมาเลเซีย เข้าร่วมกว่า 1,200 คน
พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า การสร้างพื้นที่ยั่งยืนนั้นจะต้องเริ่มด้วยการให้พี่น้องประชาชนมีสัญญาประชาคมที่ผูกพันกันเป็นหนึ่งเดียวคือ การสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมให้เข้มแข็ง โดยรัฐบาลต้องดูแลทุกเชื้อชาติทุกศาสนา ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดย ศอ.บต.ได้ขับเคลื่อนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อำเภอเบตงเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญเป็นเมืองต้นแบบของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคใต้ และเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ ในเรื่องของความงดงาม ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ในวันนี้พื้นที่บ้านเราจะก้าวหน้าเดินหน้าอย่างไร ก็อยู่ที่พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นกำลังหลักในการพัฒนา

เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวอีกว่า อำเภอเบตง คือหมุดหมายที่สำคัญของประเทศ อำเภอเบตงเป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศและทั่วโลก อำเภอเบตง จะเป็นพื้นที่จัดงานวิ่งเทรลระดับโลกอีกไม่กี่วันข้างหน้า และอำเภอเบตงเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศอีกด้วย ดังนั้นไม่แปลกที่พี่น้องชาวไทยในพื้นที่อำเภอเบตงจะอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยไม่มีการแบ่งแยก
ด้าน นายอำเภอเบตง กล่าวด้วยว่า กิจกรรมในค่ำคืนนี้ มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เชื้อสายพุทธ มุสลิม คริสเตียน และเชื้อสายจีน ถือเป็นกิจกรรมที่อบอุ่นมาก เพราะอำเภอเบตง ถือเป็นอำเภอที่มีสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ทุกคนอยู่ด้วยความรัก ความสามัคคี และพี่น้องกัน
ทั้งนี้ กิจกรรมการสร้างความเข้าใจ และความเชื่อมั่นให้กับชาวไทยเชื้อสายจีน เพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดขึ้นจำนวน 6 ครั้ง แบ่งเป็น อำเภอสายบุรี, จังหวัดปัตตานี, จังหวัดนราธิวาส, อำเภอสุไหง–โกลก อำเภอเบตง และจังหวัดยะลา โดยทุกพื้นที่ในการจัดกิจกรรม ได้เปิดโอกาสให้ชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ได้เปิดโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อนำข้อมูลที่ได้รับปรับใช้ให้เกิดสันติสุขในพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอเบตง ซึ่งเป็นอำเภอที่มีความสำคัญด้านแหล่งการท่องเที่ยว ที่ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สามารถที่จะเปิดพื้นที่และสร้างรายได้ให้พื้นที่มากขึ้นทุกปี สำหรับบรรยากาศภายในกิจกรรมมีการใช้ภาษาจีนสลับกับภาษาไทย ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมตลอดงานอีกด้วย

ข่าว..เจษฎา สิริโยทัย อ.เบตง จ.ยะลา
โทร.064-126-5593

ตำรวจสืบภาค 5 โชว์ฝีมือรวบแก็งค์เช่าแล้วเชิดรถยนต์ส่งขายต่างประเทศ

ตำรวจสืบภาค 5 โชว์ฝีมือรวบแก็งค์เช่าแล้วเชิดรถยนต์ส่งขายต่างประเทศ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.,พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในเรื่องการ ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ในฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขปัญหาการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ในทุกมิติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, , พล.ต.ต.เฉลิมพล จินตรัตน์ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดีลักทรัพย์รถยนต์รายใหญ่ ซึ่งทำเป็นขบวนการเครือข่าย โดยเป็นการจับกุมของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.ภ.5 และ กก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 4 คน ตรวจยึดรถยนต์ได้จำนวน 8 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน

คดีนี้ สืบเนื่องเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 14.00 น. ได้มีคนร้ายเป็นผู้หญิง แสดงชื่อ ใช้บัตรประชาชนและใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ซึ่งเป็นบัตรปลอม ในการทำสัญญาเช่ารถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีน้ำตาล ทะเบียน 5กย-9016 กทม. ที่บริเวณโรงแรมบีทู สาขามหิดล หลังจากส่งมอบรถ คนร้ายได้ตัดสัญญาณ GPS ของตัวรถเช่า เจ้าของรถทราบเรื่องจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พงส.สภ.แม่ปิง และทาง กก.สส.3 บก.สส.ภ.5 ได้เข้าทำการสืบสวนในเรื่องนี้

ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 11.00 น.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม สามารถจับกุมตัว นายศุภวิชญ์ฯ พร้อมกับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีน้าตาล ทะเบียน 5กย-9016 กรุงเทพมหานคร รถยนต์ที่ถูกเช่าไปดังกล่าว ที่บริเวณบนถนนสายเรียบคันคลองชลประทาน ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ และจากการขยายผล ณ ที่เกิดเหตุ สามารถจับกุมตัว นายสุมิตรฯ พร้อมรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีดา ทะเบียน 6กส-9804 กรุงเทพมหานคร ได้ที่ลานจอดรถสถานีบริการน้ามันเชื้อเพลิง ปตท.สาขาแม่มาลัย ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสอง พร้อมยึดรถยนต์ของกลาง ส่ง พงส.สภ.แม่ปิง จว.เชียงใหม่ ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร”

จากการสืบสวนขยายผลกลุ่มขบวนการ สามารถขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดเชียงใหม่ ออกหมายจับ น.ส.ปวีณาฯ และ น.ส.ตวงพรฯ บุคคลผู้มาทำธุรกรรมการเช่ารถ , แสดงบัตรประชนชนและใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ปลอม และเป็นผู้ถอดอุปกรณ์ GPS รถคันดังกล่าว

และในวันที่ 20 มกราคม 2566 สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาหญิงทั้งสองคนตามหมายจับนำ ส่ง พงส.สภ.แม่ปิง

ทั้งนี้ได้ ฝ่ายสืบสวนได้ทำการขยายผลสามารถ ตรวจยึดรถยนต์ในเครือข่ายนี้ได้รวม จำนวน 8 คัน และ รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน และขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบรถทั้งหมดเพื่อขยายผลดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุน ทั้งที่อยู่ภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ร่วมขบวนการที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน

สำหรับรูปแบบการกระทำความผิดของเครือข่ายนี้ มีอยู่ด้วยกันที่ตรวจพบในขณะนี้ จำนวน 3 รูปแบบ คือ

1.เช่าแล้วเชิด – คนร้ายจะทำการเช่ารถตามร้านเช่า มีทั้งที่แสดงตัวตนตามบัตรประชาชนจริง และปลอมแปลงเอกสารฯ เพื่ออำพรางตัวตน จากนั้นตัดสัญญาณ GPS แล้วนำรถไปขายต่อ

2.จ้างให้ไปเช่าซื้อรถ – คนร้ายจะจ้างวานให้บุคคลที่มีศักยภาพทางการเงิน ไปกู้ซื้อรถจากโชว์รูม / เต้นท์รถ โดยบุคคลนั้นยินยอมรับค่าจ้างเป็นเงินสดแลกกับการขาดทุนจากการผ่อนชาระค่างวดรถรายเดือน จากนั้นจะนำรถออกจำหน่ายข้ามแดน

3.รถหลุดจำนำ – คนร้ายจะนำรถที่มีบุคคลนำมาจำนำไว้ ซึ่งอาจผิดนัดชำระเงินต้น และ/หรือ ดอกเบี้ย ไปจำหน่ายในราคาถูก อีกทอดหนึ่ง

ประชาสัมพันธ์/เตือนภัย จาก ตำรวจภูธร ภาค 5

1. ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนว่าเป็นของจริงหรือไม่ ภาพในบัตรประจำตัวประชาชนตรงกับผู้มาเช่าหรือไม่ มีการปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชนหรือไม่

2.เมื่อเช่ารถเสร็จแล้วก่อนส่งมอบรถควรถ่ายภาพผู้มาเช่าคู่กับรถ และให้ผู้เช่า ถอดแมส แว่นตากันแดด หมวกให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบรถ

3. กลุ่มคนร้ายในเคสนี้หลังจากเช่ารถแล้วจะมีการตัดสัญญาณ GPS เพื่อไม่ให้ทราบพิกัดของรถว่าอยู่ที่ใด ควรหามาตรการการป้องกันและแก้ไข

4. การดาวน์ ลักษณะดังกล่าวผู้ที่รับจ้างการดาวน์รถแล้ว จะขายให้นายทุนเป็นเงินก้อนในราคาที่ต่ำกว่าราคาจริง ขอแจ้งเตือนผู้รับจ้างดาวน์ว่าในการขายในราคาถูกจะทำให้ผู้รับจ้างดาวน์จ่ายเงิน(ผ่อน) รถในราคาปกติและถ้าหากไม่จ่ายเงินตามระยะเวลาที่กาหนดอาจจะถูกไฟแนนซ์ฟ้องร้องเป็นคดีได้ และอาจมีการใช้รถยนต์ในการจ้างดาวน์ไปใช้ในการกระทำความผิด เช่น ลักลอบขนยาเสพติด ลักลอบนำรถข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ซึ่งผู้รับจ้างดาวน์จะต้องโดนดำเนินคดีด้วยเนื่องจากเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด

5. การรับจำนำรถ รถที่นำมาจำนำผู้รับจำนำไม่ทราบที่มาของรถ ประวัติของรถ ซึ่งอาจเป็นรถที่ใช้การทำความผิดมา แล้วนำมาจำนำ ผู้รับจำนำอาจถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน ลักทรัพย์ ยักยอก หรือรับของโจร ได้.

ทรงวุฒิ ทับทอง

ตำรวจสืบภาค 5 โชว์ฝีมือรวบแก็งค์เช่าแล้วเชิดรถยนต์ส่งขายต่างประเทศ

ตำรวจสืบภาค 5 โชว์ฝีมือรวบแก็งค์เช่าแล้วเชิดรถยนต์ส่งขายต่างประเทศ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.,พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในเรื่องการ ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ในฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขปัญหาการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ในทุกมิติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, , พล.ต.ต.เฉลิมพล จินตรัตน์ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดีลักทรัพย์รถยนต์รายใหญ่ ซึ่งทำเป็นขบวนการเครือข่าย โดยเป็นการจับกุมของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.ภ.5 และ กก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 4 คน ตรวจยึดรถยนต์ได้จำนวน 8 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน

คดีนี้ สืบเนื่องเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 14.00 น. ได้มีคนร้ายเป็นผู้หญิง แสดงชื่อ ใช้บัตรประชาชนและใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ซึ่งเป็นบัตรปลอม ในการทำสัญญาเช่ารถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีน้ำตาล ทะเบียน 5กย-9016 กทม. ที่บริเวณโรงแรมบีทู สาขามหิดล หลังจากส่งมอบรถ คนร้ายได้ตัดสัญญาณ GPS ของตัวรถเช่า เจ้าของรถทราบเรื่องจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พงส.สภ.แม่ปิง และทาง กก.สส.3 บก.สส.ภ.5 ได้เข้าทำการสืบสวนในเรื่องนี้

ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 11.00 น.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม สามารถจับกุมตัว นายศุภวิชญ์ฯ พร้อมกับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีน้าตาล ทะเบียน 5กย-9016 กรุงเทพมหานคร รถยนต์ที่ถูกเช่าไปดังกล่าว ที่บริเวณบนถนนสายเรียบคันคลองชลประทาน ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ และจากการขยายผล ณ ที่เกิดเหตุ สามารถจับกุมตัว นายสุมิตรฯ พร้อมรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีดา ทะเบียน 6กส-9804 กรุงเทพมหานคร ได้ที่ลานจอดรถสถานีบริการน้ามันเชื้อเพลิง ปตท.สาขาแม่มาลัย ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสอง พร้อมยึดรถยนต์ของกลาง ส่ง พงส.สภ.แม่ปิง จว.เชียงใหม่ ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร”

จากการสืบสวนขยายผลกลุ่มขบวนการ สามารถขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดเชียงใหม่ ออกหมายจับ น.ส.ปวีณาฯ และ น.ส.ตวงพรฯ บุคคลผู้มาทำธุรกรรมการเช่ารถ , แสดงบัตรประชนชนและใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ปลอม และเป็นผู้ถอดอุปกรณ์ GPS รถคันดังกล่าว

และในวันที่ 20 มกราคม 2566 สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาหญิงทั้งสองคนตามหมายจับนำ ส่ง พงส.สภ.แม่ปิง

ทั้งนี้ได้ ฝ่ายสืบสวนได้ทำการขยายผลสามารถ ตรวจยึดรถยนต์ในเครือข่ายนี้ได้รวม จำนวน 8 คัน และ รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน และขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบรถทั้งหมดเพื่อขยายผลดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุน ทั้งที่อยู่ภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ร่วมขบวนการที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน

สำหรับรูปแบบการกระทำความผิดของเครือข่ายนี้ มีอยู่ด้วยกันที่ตรวจพบในขณะนี้ จำนวน 3 รูปแบบ คือ

1.เช่าแล้วเชิด – คนร้ายจะทำการเช่ารถตามร้านเช่า มีทั้งที่แสดงตัวตนตามบัตรประชาชนจริง และปลอมแปลงเอกสารฯ เพื่ออำพรางตัวตน จากนั้นตัดสัญญาณ GPS แล้วนำรถไปขายต่อ

2.จ้างให้ไปเช่าซื้อรถ – คนร้ายจะจ้างวานให้บุคคลที่มีศักยภาพทางการเงิน ไปกู้ซื้อรถจากโชว์รูม / เต้นท์รถ โดยบุคคลนั้นยินยอมรับค่าจ้างเป็นเงินสดแลกกับการขาดทุนจากการผ่อนชาระค่างวดรถรายเดือน จากนั้นจะนำรถออกจำหน่ายข้ามแดน

3.รถหลุดจำนำ – คนร้ายจะนำรถที่มีบุคคลนำมาจำนำไว้ ซึ่งอาจผิดนัดชำระเงินต้น และ/หรือ ดอกเบี้ย ไปจำหน่ายในราคาถูก อีกทอดหนึ่ง

ประชาสัมพันธ์/เตือนภัย จาก ตำรวจภูธร ภาค 5

1. ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนว่าเป็นของจริงหรือไม่ ภาพในบัตรประจำตัวประชาชนตรงกับผู้มาเช่าหรือไม่ มีการปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชนหรือไม่

2.เมื่อเช่ารถเสร็จแล้วก่อนส่งมอบรถควรถ่ายภาพผู้มาเช่าคู่กับรถ และให้ผู้เช่า ถอดแมส แว่นตากันแดด หมวกให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบรถ

3. กลุ่มคนร้ายในเคสนี้หลังจากเช่ารถแล้วจะมีการตัดสัญญาณ GPS เพื่อไม่ให้ทราบพิกัดของรถว่าอยู่ที่ใด ควรหามาตรการการป้องกันและแก้ไข

4. การดาวน์ ลักษณะดังกล่าวผู้ที่รับจ้างการดาวน์รถแล้ว จะขายให้นายทุนเป็นเงินก้อนในราคาที่ต่ำกว่าราคาจริง ขอแจ้งเตือนผู้รับจ้างดาวน์ว่าในการขายในราคาถูกจะทำให้ผู้รับจ้างดาวน์จ่ายเงิน(ผ่อน) รถในราคาปกติและถ้าหากไม่จ่ายเงินตามระยะเวลาที่กาหนดอาจจะถูกไฟแนนซ์ฟ้องร้องเป็นคดีได้ และอาจมีการใช้รถยนต์ในการจ้างดาวน์ไปใช้ในการกระทำความผิด เช่น ลักลอบขนยาเสพติด ลักลอบนำรถข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ซึ่งผู้รับจ้างดาวน์จะต้องโดนดำเนินคดีด้วยเนื่องจากเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด

5. การรับจำนำรถ รถที่นำมาจำนำผู้รับจำนำไม่ทราบที่มาของรถ ประวัติของรถ ซึ่งอาจเป็นรถที่ใช้การทำความผิดมา แล้วนำมาจำนำ ผู้รับจำนำอาจถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน ลักทรัพย์ ยักยอก หรือรับของโจร ได้.

ทรงวุฒิ ทับทอง

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com