ตัวแทนชาวบ้านหน้าวัดจันทนาราม ร้องเทศบาลเมืองจันทบุรี ขอให้เปลี่ยนสถานที่ตั้งศูนย์กักกันกลุ่มเสี่ยงโควิด 19 ในชุมชน เนื่องจากไม่มั่นใจความปลอดภัย

ตัวแทนชาวบ้านหน้าวัดจันทนาราม ร้องเทศบาลเมืองจันทบุรี ขอให้เปลี่ยนสถานที่ตั้งศูนย์กักกันกลุ่มเสี่ยงโควิด 19 ในชุมชน เนื่องจากไม่มั่นใจความปลอดภัย

ตัวแทนชาวบ้านหน้าวัดจันทนาราม ร้องเทศบาลเมืองจันทบุรี ขอให้เปลี่ยนสถานที่ตั้งศูนย์กักกันกลุ่มเสี่ยงโควิด 19 ในชุมชน เนื่องจากไม่มั่นใจความปลอดภัย

วันนี้ ( 6 ส.ค.64 ) ที่บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองจันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรี ตัวแทนชาวบ้านชุมชนวัดจันทนาประมาณ 10 กว่าคน ได้เดินทางมาร้องเรียนขอให้เทศบาลเมืองจันทบุรีเปลี่ยนสถานที่ตั้งศูนย์พักคอย หรือ ศูนย์กักตัวกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยโควิด – 19 ในศูนย์เด็กเล็กวัดจันทนาราม เพราะไม่มั่นใจความปลอดภัยของชาวบ้านในชุมชน ที่อยู่กันหนาแน่น โดยนายณรงค์ กิจจาวรอาภรณ์ และ นาย กฤติเดช คุ้มจันท์ดี ตัวแทนชาวบ้านกว่าว่าเห็นด้วยกับการตั้งศูนย์กักตัวกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยโควิด – 19 แต่ ไม่เห็นด้วยที่จะใช้สถานที่ศูนย์เด็กเล็กวัดจันทนาราม ซึ่งอยู่ใกล้ชุมชน และเป็นเส้นทางหลักของรถวิ่งเข้าตัวเมืองจันทบุรี อาจเกิดการแพร่กระจายของเชื้อ หากมีผู้ป่วยโควิด เข้ามากักตัว ซึ่งจะส่งผลเสีย และความปลอดภัยของคนในชุมชน

เบื้องต้นตัวแทนของชาวบ้านขอเสนอให้ไปใช้พื้นที่ของโรงเรียนวัดไผ่ล้อมแทนการใช้ ศูนย์เด็กเล็กวัดจันทนาราม ซึ่งชาวบ้านได้ลงรายมือชื่อรวมกว่า 100 คน และนำบันทึกของชาวบ้านขอให้เปลี่ยนสถานที่ศูนย์กักตัวกลุ่มเสี่ยงแก่นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองจันทนิมิต โดยนายคมจักร ถาวรวิริยะนันท์ นายกเทศมนตรีเมืองจันทนิมิต พร้อมด้วย สาธารณสุขอำเภอ ได้สร้างความเข้าใจแก่ตัวแทนชาวบ้าน แต่ ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เบื้องต้นจึงต้องชะลอการดำเนินการไปก่อน และ ทางเทศบาลจะหาสถานที่ใหม่แทนศูนย์เด็กเล็กวัดจันทนาราม ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัดได้พิจารณาต่อไป ตัวแทนชาวบ้านพึงพอใจจึงแยกย้ายกันกลับ

ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี
พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

หนุ่มสัตหีบ ช๊อคบิลค่าไฟเรียกเก็บกว่า 300,000 บาท หากต้องจ่ายจริงคงต้องขายบ้าน

หนุ่มสัตหีบ ช๊อคบิลค่าไฟเรียกเก็บกว่า 300,000 บาท หากต้องจ่ายจริงคงต้องขายบ้าน

วันนี้ ( 1 ส.ค. 64 ) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ นายเจนรบ แสงฮวด อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88/31 ม.7 ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังทราบว่า ถูกเรียกเก็บค่าไฟฟ้าเป็นเงินกว่า 300,000 บาท โดยพบว่าบ้านหลังที่เรียกเก็บค่าไฟกว่า 300,000 บาท เป็นบ้านชั้นเดียว อาศัยอยู่เพียง 3 คน
นายเจนรบ ได้นำบิลค่าไฟฟ้าของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทาน ทร. ให้ผู้สื่อข่าวดูพบว่า ก่อนหน้านี้ เสียค่าไฟเดือนละ 700 กว่าบาท แต่มาเดือนที่ 4 ขึ้นมา 1,000 กว่าบาท เดือนที่ 5 บิล 40 กว่าบาท เดือนที่ 6 บิลมา 2,000 กว่าบาท ตนเองก็จ่ายโดยไม่ได้คิดอะไร แต่มาเดือนที่ 7 บิล เก็บค่าไฟฟ้ามา 318,249.18 บาท ตนแทบช๊อค เพราะที่บ้านอยู่กัน 3 คน แอร์ ก็มีตัวเดียว เปิดก็ไม่ค่อยได้เปิด
นายเจนรบ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นยังไม่ได้ไปติดต่อทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะติดเสาร์อาทิตย์ แต่เมื่อเดือนที่แล้วได้มีการนำมิเตอร์ไฟมาเปลี่ยนใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า สำหรับไฟฟ้าในอำเภอสัตหีบ มักมีปัญหาตลอดทั้งไฟดับบ่อย

ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะบ้านผมบ้านเดียว เป็นทั้งอำเภอ ซึ่งลองเข้าไปดูในเพจ สัตหีบ อยากซื้อ อยากขาย ซึ่งตนก็อยากฝากให้บุคคลที่เกี่ยวช่วยตรวจสอบ ซึ่งวันเปิดทำการก็คงต้องรีบเข้าไปติดต่อ ตนเองคงไม่ยอม แต่หากต้องจ่ายคงต้องขายบ้าน
ส่วนเพจดังกล่าว ที่นายเจนรบให้ดูพบว่าไฟฟ้าอำเภอสัตหีบ มีการลงเกี่ยวกับไฟฟ้าดับ ค่าไฟเดือนเดียวมี 2 บิล ค่าไฟ 3 เดือนเท่ากัน บางคนอยู่กันแค่ 4 คน ค่าไฟ 4, 000 กว่าบาท จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงด้วยครับ

ภาพ/ข่าว นิราช/นันฐพล/พิชญ์ฐญา ทิพย์ศรี จ.ชลบุรี
พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ศรีสะเกษ !! ผู้ใหญ่บ้านเจี่ยร้องลุงตู่ช่วยด้วยรถบรรทุกทรายอิทธิพลขยี้ถนนในหมู่บ้านพังยับเยิน ร้องเรียนไปหลายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแต่เรื่องเงียบหายหมด

ศรีสะเกษ !! ผู้ใหญ่บ้านเจี่ยร้องลุงตู่ช่วยด้วยรถบรรทุกทรายอิทธิพลขยี้ถนนในหมู่บ้านพังยับเยิน ร้องเรียนไปหลายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแต่เรื่องเงียบหายหมด ชาวบ้านเดือดร้อนหนักนานหลายปีแล้ว ขอให้ลุงตู่ได้โปรดตรวจสอบข้อเท็จจริงและสั่งการถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาดูแลแก้ไขในเรื่องนี้โดยด่วนด้วย

เมื่อเวลา 13.2 0 น. วันที่ 1 ส.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณถนนกลางหมู่บ้านเจี่ย ต.ทาม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ นายสุพร สมภาวะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านเจี่ย และนายครรชิต สารภาค ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 บ้านเจี่ย ได้ร่วมกันตรวจดูสภาพของถนนที่พังเสียหาย ทั้งนี้เนื่องจากว่า ขณะนี้ชาวบ้านเจี่ยกำลังได้รับความเดือดร้อนจากรถบรรทุกพ่วงซึ่งบรรทุกทรายเต็มคันรถวิ่งผ่านไปมาเข้ามาในเขตบ้านเจี่ยเป็นอย่างมาก โดยรถบรรทุกทรายที่บรรทุกหนักมากทำให้ถนนภายในหมู่บ้านที่ก่อนหน้านี้เป็นถนนลาดยางอย่างดีและเป็นถนนลาดยางในหมู่บ้านที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษได้พังเสียหายยับเยิน เนื่องจากว่ารถบรรทุกทรายของผู้มีอิทธิพลวิ่งบรรทุกทรายผ่านเข้ามาในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง โดยรถบรรทุกทรายทุกคันจะบรรทุกทรายหนักมากและวิ่งรถบรรทุกทรายต่อเนื่องกันตลอดเวลา ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 04.00 – 22.00 น. ทุกวัน ช่วงหน้าฝนทำให้ถนนลาดยางกลายเป็นถนนดินโคลน พอช่วงหน้าแล้งรถบรรทุกทรายที่วิ่งผ่านกลางหมู่บ้านจะทำให้มีฝุ่นคลุ้งกระจายเข้าไปในบ้านเรือนของชาวบ้านกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านตาม 2 ข้างทางที่รถบรรทุกทรายวิ่งผ่านเป็นอย่างมาก ชาวบ้านไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ เนื่องจากว่า เคยร้องเรียนไปยังหลายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหลายแห่งแล้ว แต่เรื่องเงียบหายไป ช่วงเวลาใดที่จะมีเจ้าหน้าที่มาชั่งน้ำหนักรถ เจ้าของบ่อทรายอิทธิพลก็จะให้ถอดพ่วงบรรทุกทรายออกแล้วนำเอารถบรรทุกธรรมดามาให้เจ้าหน้าที่ชั่งน้ำหนักเพื่อให้เห็นว่า รถบรรทุกทรายไม่ได้บรรทุกน้ำหนักเกินแต่อย่างใด เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจชั่งน้ำหนักรถกลับไปแล้ว รถบรรทุกทรายก็จะนำพ่วงมาบรรทุกเช่นเดิม ชาวบ้านได้บรรทุกภาพรถพ่วงที่บรรทุกทรายเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกลับไม่ดำเนินการตามกฎหมายเรื่องนี้อย่างจริงจัง

นายสุพร สมภาวะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านเจี่ย กล่าวว่า ถนนสายนี้แต่เดิมมีความสวยงามมาก ต่อมาปี 2558 ได้มีรถบรรทุกทรายเป็นรถพ่วง 18 ล้อ และ 20 ล้อ พากันบรรทุกหนักแล้ววิ่งเข้าอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้ถนนทั้งสายพังเสียหายกลายเป็นดินโคลนในหน้าฝนและเป็นถนนเปื้อนฝุ่นในหน้าแล้ง ทำให้ชาวบ้านเจี่ยได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ทั้งนี้ตามขั้นตอนการขออนุญาตดูดทรายต้องขอเส้นทางวิ่งบรรทุกทรายที่ชัดเจน จะต้องได้รับอนุญาตจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบเสียก่อนว่าได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ นี่คือหลักความจริงและตามข้อเท็จจริงแล้วเขาไปขออนุญาตดูดทรายและขนทรายตอนไหนก็ไม่ทราบ หรือว่าขอให้รถบรรทุกทรายวิ่งไปเส้นทางใดตนเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ทราบ ชาวบ้านอยากรู้ว่าผู้ให้อนุญาตสัมปทานบ่อทรายในครั้งนี้ เขาใช้เส้นทางเส้นใดในการวิ่งบรรทุกทรายซึ่งตนและชาวบ้านเจี่ยทุกคนไม่ได้อนุญาตให้รถบรรทุกทรายวิ่งเส้นทางที่ผ่านกลางหมู่บ้านนี้ จ.อุบลราชธานี อนุญาตให้ทำการดูดทรายได้ แต่ว่าพวกเราชาวบ้าน จ.ศรีสะเกษ ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้อย่างหนัก หากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้มีการตรวจสอบขั้นตอนของการขออนุญาตดูดทรายว่าเป็นไปตามระเบียบกฎหมายหรือไม่อย่างไรแล้ว ท่าทรายทุกแห่งที่อยู่บริเวณนี้จะไม่สามารถดูดทรายได้แม้แต่เม็ดเดียว แต่ตนไม่ทราบว่า มีอะไรไปบังตาเจ้าหน้าที่ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจึงมองไม่เห็นการกระทำของรถบรรทุกทรายของผู้มีอิทธิพลที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
นายสุพร สมภาวะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านเจี่ย กล่าวต่อไปว่า ถนนสายนี้มีโรงเรียน โรงพยาบาล วัดและบ้านเรือนชาวบ้านอยู่กันหนาแน่นมาก ชาวบ้านทุกคนไม่เห็นด้วยที่จะให้รถบรรทุกทรายวิ่งผ่านถนนสายนี้เพราะว่า ทำให้ถนนพังเสียหาย การสัญจรของชาวบ้านไม่สะดวก เพราะรถพ่วงขนาดใหญ่จะขับเร็วมาก จนหวั่นเกรงว่า อาจจะเกิดอุบัติเหตุกับชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านได้ ถนนสายนี้ซ่อมไปแล้วหลายรอบแต่ว่า ทำไปแล้วก็สิ้นเปลืองงบประมาณของแผ่นดินทำไปเพื่อให้รถบรรทุกทรายวิ่งทำให้ถนนพังอยู่ตลอด ชาวบ้านแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากถนนสายนี้ ตนจึงกราบขอวิงวอนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอได้โปรดตรวจสอบข้อเท็จจริงและกรุณาสั่งการถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาดูแลแก้ไขในเรื่องนี้โดยด่วนด้วย ซึ่งการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ผู้มีอำนาจจะต้องสั่งห้ามไม่ให้รถบรรทุกทรายวิ่งเข้ามาภายในหมู่บ้านเจี่ย หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตนพร้อมด้วยชาวบ้านเจี่ยทุกคนสุดจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว จะทำการปิดหมู่บ้านห้ามรถบรรทุกทรายวิ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเด็ดขาด

************
ข่าว/ภาพ…… บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

หลวงปู่คลาด” พร้อมลูกศิษย์บุกจวน ผวจ.อุดรฯ ร้องถูก จนท.ป่าไม้ลุแก่อำนาจไปยึดกระจงจนมันบาดเจ็บหัวแตกขาหัก

ข่าว “หลวงปู่คลาด” พร้อมลูกศิษย์บุกจวน ผวจ.อุดรฯ ร้องถูก จนท.ป่าไม้ลุแก่อำนาจไปยึดกระจงจนมันบาดเจ็บหัวแตกขาหัก

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เวลา 17.00 น. หลวงปู่คลาด ครุธัมโม อายุ 76 ปี ประธานสงฆ์วัดป่าบ้านใหม่ ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พร้อมด้วยพระสงฆ์ แม่ชี ชาวบ้าน ศิษยานุศิษย์ประมาณ 30 คน เดินทางมาที่หน้าสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ ที่ 10 ถนนศรีสุข เขตเทศบาลนครอุดรธานี ขอพบผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 เพื่อขอความชัดเจนเรื่องมีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูพระบาท เจ้าหน้าป่าไม้ ลุแก่อำนาจบุกเข้าไปจับกระจงในวัด ทำให้มันได้ได้รับบาดเจ็บหัวแตก ขาหัก เหตุเกิดเที่ยงวันนี้ แต่เนื่องจากเป็นวันหยุดจึงไม่มีใครมาพบ นั่งรออยู่ประมาณ 30 นาที จึงเดินทางไปที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี
โดยมีนายวิชา จันทร์กลม ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี เป็นตัวแทนมารับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เดือดร้อน โดยพระทวี ญาณธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านใหม่ บอกว่า หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินจอมธาตุ ลุแก่อำนาจ นำเจ้าหน้าที่ประมาณ 30นาย บุกเข้ามาในวัด โดยไม่แจ้งให้ทางวัดทราบว่าต้องการอะไร ต้องการมาตรวจสอบอะไร ไม่แจ้งข้อหาว่าผิดอะไร บุกเข้าไปถึงกรงกระจง ซึ่งเป็นกระจงเลี้ยงไว้ ซึ่งพื้นที่วัดก็อยู่ในเขตวนอุทยาน กระจงก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง เมื่ออยู่ในพื้นที่วนอุทยานมันจะผิดตรงไหน
“ พระสงฆ์ที่อยู่ในวัดได้ช่วยกันดูแลให้อาหารและรักมัน พวกเราไม่ได้โหดร้าย พวกเราเป็นพระ มีเมตตาดูแลรักษามันอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่บุกเข้ามาจับแต่พระและชาวบ้านไม่ยอมให้เอาไป เจ้าหน้าที่ได้คืนกระจงในสภาพหัวแตก ขาหัก ต้องพามาร้องเรียนด้วย”

พระทวี บอกต่อว่า เจ้าหน้าที่เคยเข้าไปตรวจสอบไม้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 4-5 ครั้งที่ 1-2 เราก็เอาหลักฐานมาแสดงให้ดู ซึ่งมาซ้ำซากจนเราหมดอดทนแล้วจึงได้มา ทุกครั้งเราจะประนีประนอมยอมทุกอย่าง บางครั้งก็ยึดอายัดไม้เราไปนานจนเน่า แล้วค่อยมาทำเรื่องผ่อนปรน พวกเราเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ลุแก่อำนาจ เที่ยงวันนี้ก็ได้บุกเข้าไปจับกระจง ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่มีความรู้เรื่องสัตว์ป่าเลย ทำให้กระจงหัวแตกและขาหัก
แต่เจ้าหน้าที่เข้าไปจับผิดหาจุดผิดเรื่องกฎหมาย ซึ่งพระไม่รู้เรื่องกฎหมายเลย ไม่รู้อะไรผิด อะไรไม่ผิด ทำไมไม่เข้าไปบอกพระว่าอะไรผิด ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม้ที่เข้าไปจับก็เป็นไม้ที่ชาวบ้านบริจาคมา ไม้อยู่ตามท้องไร่ท้องนา หลวงปู่จะทำกุฎิ ก็นำบริจาคคนละต้นสองต้น บางครั้งลูกศิษย์ก็บริจาคเงิน เราก็ไปซื้อมาและมีหลักฐาน จะมาจับผิดตรงชาวบ้านบริจาคซึ่งไม่มีหลักฐาน มีแต่ศรัทธา
พระทวี บอกต่ออีกว่า “ เจตนาคือทำนุบำรุงพระศาสนา คนเข้ามาในวัดก็ได้ปฎิบัติธรรม ทำให้จิตใจสูงขึ้น ออกไปเป็นคนดีของสังคม ทำให้สังคมสงบเยือกเย็น แต่เจ้าหน้าที่เข้ามาใช้กฎหมาย ทำให้เกิดความแตกแยก ทำลาย ทำให้เกิดความร้อนใจ ไม่สบายใจในหมู่สงฆ์ และญาติโยม”
นายวิชา จันทร์กลม ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้มอบให้ ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี ตัวแทนปลัดจังหวัด ตัวแทนสำนักพุทธศาสนา มารับเรื่องร้องเรียน แต่ช่วงนี้อยู่ในช่วงสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 จึงขอตัวแทนวัด 4-5 คน เรียบเรียบข้อมูลเอกสาร หลักฐานต่างๆ นำมาที่ศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี เวลา 10.30 น. วันที่ 29 กรกฎาคม ซึ่งพวกเราในนามผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี จะให้ความเป็นธรรม ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน ส่วนกระจงวัดมอบให้สัตวแพทย์ไปรักษา ทำให้ผู้มายื่นเรื่องร้องเรียนพอใจ และเดินทางกลับ

///////////////
นายกฤษดา จันทร์ดวง ผู้สื่อข่าว จ.อุดรธานี 0804141617

ทนายวิญญัติ ร้อง ผบ.ตร. ตรวจสอบ รองผบช.น. ยกคำ “รัฐบาลฆาตกร” ห้ามประชาชน ดารา call out เจตนาสร้างความสับสน

ทนายวิญญัติ ร้อง ผบ.ตร. ตรวจสอบ รองผบช.น. ยกคำ “รัฐบาลฆาตกร” ห้ามประชาชน ดารา call out เจตนาสร้างความสับสนวันนี้ (27 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการ สมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ(สกสส.) เข้ายื่นหนังสือถึงพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และจเรตำรวจแห่งชาติให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. ที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ในประเด็นดารานักแสดงออกมา call out พร้อมยกตัวอย่างคำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เช่น “รัฐบาลฆาตรกร” “วัคซีนไร้ประสิทธิภาพ” “รอวัคซีนนานแล้ว รัฐบาล…ไม่…ทำไร” เป็นการกระทำที่บิดเบือนหรือมีเจตนาสร้างข้อความให้ประชาชนสับสน ตื่นตระหนก หวาดกลัวหรือไม่นายวิญญัติ กล่าวว่า วันนี้มายื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ โดยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ทั้งนี้ไม่สามารถเปิดเผยหนังสือนี้ได้เนื่องจากเป็นหนังสือร้องเรียน แต่สาระสำคัญที่มาในวันนี้มี 3 เรื่อง เรื่องแรก ท่าทีของตำรวจโดยเฉพาะท่าทีของรองผบช.น. ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนกรณีการออกมาแสดงความคิดเห็นหรือ call out ของดารา นักร้อง ผู้มีชื่อเสียงในสังคมว่าเป็นความผิด ซึ่งพฤติการณ์ได้มีการยกตัวอย่าง 3 ประโยคที่เป็นความผิด การทำลักษณะนี้มองได้ว่าเป็นการขู่ดำเนินคดีกับประชาชน และทำให้ประชาชนหวาดกลัวหรือตกใจ สิ่งสำคัญคือประชาชนสับสนกับการใช้ชีวิต ใช้เสรีภาพของพวกเขา เพราะสิ่งที่ประชาชนพูดหรือดาราเหล่านั้นพูดคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม และเป็นการสะท้อนความคิดเห็นที่อยากให้ประชาชนหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับสิ่งดีๆ ให้สมกับเงินภาษีที่เก็บและงบประมาณแผ่นดินที่ใช้ไปดังนั้นสิ่งที่รองผบช.น.แสดงออก เราเห็นว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ท่าทีแบบนี้ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาในประเทศชาติมากขึ้น เราเห็นว่าตำรวจจะต้องดำรงตนอย่างมีเกียรติภูมิ ต้องดำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่อประชาชน โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรตำรวจที่จะใช้กฎหมายที่เป็นธรรมและวางตัวเป็นกลาง ไม่ใช้อำนาจหรือความพึงพอใจส่วนตัวหรือการเลือกปฏิบัติที่ทำให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องที่ประชาชนได้รับผลกระทบทั้งสิ้นนายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ถ้อยคำดังกล่าวยังไม่เคยมีความผิดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เนื่องจากคำว่า “รัฐบาล” ไม่ถือว่าเป็นบุคคล หรือ นิติบุคคล การที่บุคคลใดกล่าวถึงและวิจารณ์ด้วยความสุจริตไม่ถือว่ามีความผิด รวมทั้งการวิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนก็เห็นว่าเป็นความเห็นของประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากรัฐ ซึ่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นที่รองผบช.น. ออกมายกตัวอย่างคำพูดที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย อาจจะเป็นการบิดเบือนทำให้ประชาชนสับสน ตื่นตระหนก หวาดกลัว จึงต้องการให้ผบ.ตร. มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และพิจารณาทางวินัย และหากมีการดำเนินคดีกับบุคคลที่พูดข้อความดังกล่าว ทางสมาพันธ์ฯ ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย เพราะอาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่เชื่อว่า เป็นการเข้าใจผิดของตำรวจที่ออกมายกตัวอย่างคำพูดดังที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับผู้ที่อ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากบุคคลในรัฐบาลมาแจ้งความดำเนินคดีแทน ก็จะดำเนินการตรวจสอบควบคู่กันไปด้วยว่าได้รับมอบอำนาจจริงหรือไม่ รวมทั้งมีการสั่งการให้ดำเนินคดีกับประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตหรือไม่ หลังจากนี้จะติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของผบ.ตร.ว่าจะดำเนินการไปในทิศทางใดทั้งนี้ตนขอแสดงความชื่นชม และขอขอบคุณดารา นักร้อง คนที่มีชื่อเสียงต่างๆ ที่ออกมาสะท้อนความคิดเห็น พวกท่านแสดงความเป็นมนุษย์ และมีความกล้าหาญ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป หากตำรวจยังยืนยันที่จะดำเนินคดีกับพวกท่าน พวกเราในฐานะสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ ทำคดีการเมือง สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนมาร่วม 10 ปี ขออาสาที่จะช่วยพวกท่านเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนต่อไป และเรื่องสุดท้ายซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ขอฝากไปถึงบุคคลที่มีตำแหน่งจากทำเนียบ บุคคลที่อ้างคำสั่งแต่งตั้งจากทำเนียบ หรืออ้างคำสั่งแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี ที่มาแจ้งความกล่าวหาดำเนินคดีกับบุคคลหลายคนทำให้ประชาชนเดือดร้อน ขอเรียกร้องให้แสดงหนังสือหลักฐานให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนหายสงสัย

สระแก้ว – ชาวบ้านร้องเรียนหน่วยงานเข้าตรวจสอบแก๊งมอดไม้ ลักลอบตัดไม้พะยูงป่าพ่อหลวง 3,000 ไร่ ต.หันทราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

สระแก้ว – ชาวบ้านร้องเรียนหน่วยงานเข้าตรวจสอบแก๊งมอดไม้ ลักลอบตัดไม้พะยูงป่าพ่อหลวง 3,000 ไร่ ต.หันทราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

” ผู้สื่อข่าวรายงาน ชาวบ้านในพื้นที่บ้านหันทราย ต.หันทราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ร้องเรียนสื่อมวลชนขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะไม้พะยูงในพื้นที่ป่าพ่อหลวง ต.หันทราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลไปยังศูนย์รับเรื่องร้องเรียน จ.สระแก้ว ว่ามีการลักลอบตัดไม้พะยูงที่บริเวณป่าอนุรักษ์ (ป่าพ่อหลวง) ของหมู่ที่ 2 บ้านหันทราย ตำบลหันทราย อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว นายเกียรติศักดิ์ จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว จึงสั่งการให้ นายวัลลภ ประวัติวงค์ ได้สั่งการให้ นายราเยส ราย ป้องกันจังหวัดสระแก้ว ร่วมกับ กำนันตำบลหันทราย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบกรณีดังกล่าว

” ทั้งนี้ นายราเยส ราย ป้องกันกันจังหวัดสระแก้ว เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบหลังชาวบ้านแจ้งเบาะแสพบว่า น่าเชื่อว่ามีการลักลอบตัดไม้ในป่า “พ่อหลวง” จริง โดยชาวบ้านที่เก็บเห็ด ยืนยันว่า ได้ยินเสียงเลื่อยโซ่ยนต์ ในบริเวณทิศตะวันออกของป่าพ่อหลวง ซึ่งก่อนหน้านี้บริเวณดังกล่าว ได้มีการตรวจยึดไม้พะยูงและจับกุมผู้ต้องหาลักลอบตัดไม้ แต่เนื่องจากขณะซุ่มรอตรวจ ฝนได้ตกลงมาและเป็นช่วงเวลากลางคืน เจ้าหน้าที่จึงได้ยุติภารกิจและนัดหมายเข้าตรวจสอบในตอนเช้าอีกครั้ง
“อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าว พบว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 เดือน เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมแก๊งมอดไม้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ดังกล่าว ได้ผู้ต้องหา จำนวน 4 ราย ล่าสุด ช่วงเช้าที่ผ่านมา ชาวบ้านได้พบแก๊งมอดไม้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอีกครั้ง พร้อมทั้งมีการตัดต้นไม้ขวางเส้นทาง เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปเก็บเห็ดในพื้นที่ป่าพ่อหลวงด้วย พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้

…นายยุทธนา พึ่งน้อย ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว

ปราจีนบุรี เจ้าอาวาสร้องศูนย์ดำรงธรรมที่ดินพิพาทถูกละเมิดและบุกรุกครอบครอง

ปราจีนบุรี เจ้าอาวาสร้องศูนย์ดำรงธรรมที่ดินพิพาทถูกละเมิดและบุกรุกครอบครอง

วันที่26กค.64 ที่วัดเจริญรังสรรค์ ม.8 ต.นาแขม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
พระอาจารย์นิรันดร์ จารุธัมโม เจ้าอาวาสวัดได้ทำหนังสือร้องทุกข์ร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภกบินทร์บุรี ในหนังสือระบุว่าเนื่องด้วยวัดเจริญราษฎร์รังสรรค์ กรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งวัดเมื่อวันที่ 5
ตค.2508 มีที่ดิน3ไร่ 2งาน 53ตารางวา ปีพ.ศ.2525นางละมัย ด่านจำนงค์ ได้บริจาคที่ดินบางส่วนให้เป็นศาสนสมบัติของวัดโดยมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และทางวัดนำที่ดินดังกล่าว ทำการก่อสร้างโกศสำหรับใส่กระดูกผู้ที่เสียชีวิตและเมรุเผาศพ ต่อมาเมื่อประมาณเดือน พค.-กค.64นางวันทนา สามลา ราษฎรหมู่ที่ 8 อ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากนายสมรักษ์ด่านจำนงค์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่ 56051เลขที่ดิน 257 มาขุดหลุมในพื้นที่คอนกรีตบริเวณที่ดินข้างเมรุเผาศพพร้อมกับนำเสาปูนมาปักเพื่อแสดงขอบเขตครอบครอง และห้ามพระสงฆ์หรือผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปในบริเวณดังกล่าว ทำให้วัดได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ จึงขอให้ท่านได้โปรดดำเนินการไกล่เกลี่ยหรือดำเนินการใดๆเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ด้วยผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดเจริญรังสรรค์พบกับพระอาจารย์นิรันดร์ จารุธัมโม เจ้าอาวาส กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ดินดังกล่าวมีการมอบให้กับวัดมาหลายสิบปีและให้ส่วนที่เกี่ยวข้องและผู้นำหมู่บ้านได้ไปไกล่เกลี่ยกับเจ้าของที่ดินคนดังกล่าวแล้วขอให้วัดได้ถ้ำศาสนกิจของสงฆ์ได้ด้วยและไกลเกลี่ยในเรื่องของที่ดินดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็วนางวันทนา สามลา ผู้รับมอบหมายจากนายสมรักษ์ ดรจำนงค์ (น้องชาย)

กล่าวว่า ที่ดินผืนดังกล่าวมีโฉนดที่ดินถูกต้องตามกฎหมายหลังจากที่ได้ที่ดินมาอย่างถูกต้องแล้วมาขอตรวจสอบรังวัดที่ดินปรากฏว่าที่ดินหายไป1ไร่31ตารางวาจึงได้แจ้งทางวัดให้ทราบเพื่อขอใช้สิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแต่ก็ไม่มีการมาพูดคุยแต่อย่างใด ในฐานะที่น้องชายมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายอยากจะให้ทางวัดมาเจรจาพูดคุยไกล่เกลี่ยน้องชายกับตนก็ไม่ได้คิดว่าจะขายที่ดินบริเวณดังกล่าวเต็มราคาแค่ขอให้มีการชดเชยให้บ้างตัวเงินไม่จำเป็นต้องมากมายแต่ก็ขอให้มีการชดเชยให้บ้างตนก็ยินดียกที่ดินตรงที่มีการปลูกสร้างเมรุและสิ่งปลูกสร้างในบริเวณนั้นด้วยความเต็มใจ