google.com, pub-2709829493138336, DIRECT, f08c47fec0942fa0

ชาวแพร่ สุดทน!! ร้อง รองปธ.กธจ.แพร่ ให้ส่อดส่องฯ “บ่อบาดาลทิพย์” ม.2 ต.นาจักร อ.เมืองแพร่ พร้อมถามหาความคุ้มค่าอยู่ไหน

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 23 กรกฎาคม 2566 ว่าที่ร้อยตรีภาคิน ชมภูพันธ์ รองคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแพร่ ที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวแพร่ว่า มีการสร้างบ่อบาดาล ที่หมู่ 2 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ น่าจะไม่เคยได้ใช้งานแต่อย่างใด เพราะเห็นสภาพพื้นที่แล้ว มีหญ้าปกคลุมพื้นที่

หลังจากได้รับการร้องเรียน จึงประสานนายธีรพงษ์ ธงออน ที่ปรึกษาคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแพร่ได้ลงพื้นที่สอดส่องอย่างไม่เป็นทางการ พบว่าเป็นโครงการขุดเจาะบ่อบาดาล ที่หมู่ 2 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ มีการก่อสร้างเมื่อปี 2562 ดูสภาพน่าจะไม่เห็นมีการใช้งานแต่อย่างใด จนเป็นที่เคลือบแคลงใจของพี่น้องชาวบ้านเป็นอย่างมากว่า เพราะชาวบ้านเห็นว่างบประมาณกว่า 3 แสนกว่าบาท ที่หน่วยงานนำมาก่อสร้างให้กับหมู่บ้าน และไม่ก่อเกิดประโยชน์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ชาวแพร่ บอกว่า เป็นแฟนรายการของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแพร่ซึ่งได้ฟังจาก สวท.แพร่ ตามรายการ “คณะกรรมการธรรมาภิบาลพบประชาชน ทุกวันเสาร์ มีการบอกว่า ให้พี่น้องประชาชนชาวแพร่ ช่วยเป็นหูเป็นตาในการสอดส่องการใช้งบประมาณของจังหวัดแพร่ ให้มีความคุ้มค่าและให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะงบประมาณที่จัดสรรเป็นโครงการต่างๆ เป็นภาษีอากรของพี่น้องชาวจังหวัดแพร่ทุกคน ต้องช่วยกันดูแลด้วย

ว่าที่ร้อยตรีภาคิน ชมภูพันธ์ กล่าวอีกว่า หลังจากที่ลงพื้นที่ตรวจสอบตามการร้องเรียน ก็ทราบว่าเป็นโครงการของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดแพร่ ที่ได้จัดสรรงบประมาณในการขุดเจาะบ่อบาดาลให้กับชาวบ้านหมู่ที่ 2 ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เมื่อปี 2562 ขุดเจาะบ่อบาดาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว ความลึกของบ่อ 180 เมตร ปริมาณน้ำไม่น้อยกว่า 5 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง งบประมาณ 369,000 บาท (สามแสนหกหมื่นบาทถ้วน) เริ่มโครงการ 28 กันยายน 2562 วันสิ้นสุดโครงการ 26 พฤศจิกายน 2562 ผู้รับจ้าง ร้านเวียงโกศัยวิศวกรรม ผู้ควบคุมงาน นายประพันธ์ พงษ์พันธ์ คณะกรรมการการตรวจรับงาน นายชัชวาล ชาวพิจิตร ประธานกรรมการ นางสาวนันทพร วงค์ต๋อ กรรมการ นายอรรณพ โยธานารถ กรรมการฯ

โครงการนี้น่าจะไม่ได้ใช้งานแต่อย่างใด เพราะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า จนชาวบ้านต้องเสียโอกาสในการใช้งบประมาณก้อนนี้เป็นอย่างมาก เรื่องนี้ต้องถามหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดทั้งมวลว่า โครงการนี้มีความคุ้มค่าตรงไหนอย่างไรบ้าง และจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือที่ประชุมของคณะกรรมการธรรมาภิบาลในโอกาสต่อไป

ญาณัจฉรา โชติถนอมกิจ
ราเชนทร์ โชติถนอมกิจ

แพร่…รายงาน

แม่สาย ชาวบ้านร้องทุกข์ รถบรรทุกขนดินสร้างปัญหาไม่รู้จบ ล่าสุดชนคนตายคาท้องถนน

กรณีสำนักข่าวเบาะแสภาคเหนือ-แม่สายนิวส์ออนไลน์ ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากชาวบ้าน ต.ศรีเมืองชุม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ว่ามีรถ 6 ล้อ และ 10 ล้อ บรรทุกดิน บรรทุกแกลบ สร้างปัญหา ขับรถเร็วบนท้องถนนเสี่ยงก่อเกิดอุบัติเหตุ ทำดินและแกลบตกเรี่ยราด ทำให้บนท้องถนนสกปรก ท่อไอเสียเสียงดัง ควันดำโขมง ไม่คลุมผ้าใบตามกฎหมายที่กำหนด สร้างปัญหาให้กับชาวบ้านในเขตพื้นที่ ต.ศรีเมืองชุม ไม่รู้จบ เป็นระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดในวันที่ 13 ก.ค.66 ได้เกิดเหตุบรรทุกขนดินเฉี่ยวชนกับรถซาเล้งของชาวบ้านจึงเกิดเหตุสลดขึ้นทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตคาที่ บริเวณบนท้องถนนห่างจากหน้าโรงเรียนบ้านสันถนนประมาณ 200-300 เมตรทำให้เกิดความสูญเสียถึงชีวิต และความไม่ปลอดภัยของประชาชนในการใช้รถใช้ถนนในเขตพื้นที่ ต.ศรีเมืองชุม

จึงแน่นย้ำฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ ตร. สภ.เกาะช้าง และเจ้าหน้าที่ทางหลวง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหารถบรรทุกขนดิน อย่างจริงจังเสียที อย่าปล่อยปละละเลย อาจทำให้มีการสูญเสียเพิ่มมากกว่านี้ ชาวบ้านเขาเดือดร้อนจริงๆๆ จึงได้ร้องทุกข์ต่อสื่อ

ภาพ-คลิป-ข้อมูล ได้รับร้องทุกข์จาก-ชาวบ้าน ต.ศรีเมืองชุม อ.แม่สาย
ณฐพัชร์ อภิโชคกุล หัวหน้าสำนักข่าวเบาะแสภาคเหนือ บก.เจี๊ยบแม่สายนิวส์ออนไลน์ รายงาน

กลุ่มมวลชนยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด เพื่อเรียกร้องสิทธิในการรับทราบ ข้อมูลรายละเอียดโครงการโรงงานผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล (ชานอ้อย)

วันที่ 14 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 09.30 น. ณ บริเวณหน้ามุข ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด นายชิต ชาติมลตรี พร้อมด้วยกลุ่มชาวบ้านตำบลโนนสวรรค์ อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด กว่า 100 คน เดินทางมายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเรียกร้องสิทธิในการรับทราบ ข้อมูลรายละเอียดโครงการโรงงานผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล (ชานอ้อย) และการร่วมประชุมการรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2566

โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้มอบหมายให้นายสนอง ดลประสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วยนายพิชัยยา ตุระซอง หัวหน้าสำนักงานจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมรับหนังสือฯ ตอบข้อซักถาม พร้อมกับได้แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และเจ้าของโครงการฯ รับทราบ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งกลุ่มชาวบ้านฯ มีความพึงพอใจและเดินทางกลับในต่อมา

สมนึก บุญศรี/ร้อยเอ็ด/0885730542-ข่าว

มุกดาหาร ชาวบ้าน 2 หมู่บ้านในพื้นที่ตำบลบางทรายใหญ่ ไม่เอาเหมืองแร่

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 จากกรณียื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท เอกชนแห่ง (ขอสงวนนาม) ซึ่งได้ยื่นคำขอเลขที่ 1/2564 กับอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่สีเขียว พื้นที่ถนน 4 เลนตัดผ่าน และอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร บ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้บริเวณสัมปทาน 60 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 58 ไร่ 3 งาน มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้บริเวณระเบิดหินจากเหมืองแร่หินทราย โดยมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ชาวบ้านได้ร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ตามที่ตามที่ข่าวได้เสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุด นายธีรพงษ์ กงนะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ได้ประชุมชาวบ้านหมู่ 6 หมู่ 11 และชาวบ้านที่มีพื้นที่ติดกับเหมืองดังกล่าว เพื่อแสดงความคิดเห็นถึงผลกระทบจากการขอประทานบัตรเหมืองแร่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว และขอคัดค้านการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทดังกล่าวอีกด้วย

นายธีรพงษ์ กงนะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 เปิดเผยว่า ในวันนี้เป็นการประชุมประจำเดือนปกติ แต่ได้สอดแทรกเรื่องเหมืองแร่ที่ขอประทานบัตรเหมืองแร่ ของบริษัทเอกชน แห่งหนึ่งที่ขอไว้ และวันนี้มาแสดงความคิดเห็นของชาวบ้าน ระหว่างหมู่ 6 และหมู่ 11 ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หากเกิดเหมืองขึ้นมาจะมีผลกระทบอะไรบ้างกับชาวบ้าน ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีประชาชนอยู่รอบข้างเคียงบริเวณเหมือง ได้มาแสดงความคิดเห็นร่วม ถือเป็นการดีจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร จะได้นำเรื่องนี้ส่งนายอำเภอเมืองต่อไป ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะมีโครงการก่อสร้างโรงพยาบาล ซึ่งชาวบ้านก็อยากได้โรงพยาบาล และชาวบ้านที่มาในวันนี้เห็นดีด้วย และไม่เห็นดีด้วย และจะนำเอกสารดังกล่าวจะนำส่งนายอำเภอเมือง และผู้ว่าราชการจังหวัดต่อไป

สำหรับโครงการดังกล่าวทางเทศบาลตำบลบางทรายใหญ่ ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลประกอบแบบรายงานแบบที่ 2 พบว่า ถนนหมายเลข มห.3019 ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ในขณะนี้อยู่ในรัศมี 500 เมตร จากพื้นที่ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท เอกชนแห่งหนึ่ง

ทั้งนี้แขวงทางหลวงชนบท ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานโครงการก่อสร้างของโครงการดังกล่าว พิจารณาตรวจสอบพื้นที่แล้ว โดยโครงการฯมีความเห็นว่า การดำเนินงานโครงการเหมืองแร่โดยใช้วิธีการ ขุดเจาะ ระเบิด อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความลึก และขนาดของแรงสั่นสะเทือน ภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ในขณะก่อสร้างปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่องานก่อสร้างโครงการฯ

อย่างไรก็ตามถ้าหากโครงการเหมืองแร่ได้รับการอนุมติแล้วเสร็จ จะมีผลกระทบต่อถนนหมายเลข มห.3019 แยก ทล.212 บ้านบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ระยะทาง 14.211 กิโลเมตร ซึ่งถนนดังกล่าวเชื่อมจากถนน 4 เลน เป็นถนนสายเศรษฐกิจพิเศษมาจากแม่สอด – มุกดาหาร และชาวบ้านที่มีบ้านพัก และที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโครงการดังกล่าว ตลอดจนสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านได้รับผลกระทบอีกด้วย

ไกรสมุทร นามโพธิ์ไทร/รายงานจากมุกดาหาร
081-0501177

นนทบุรี หนุ่มใหญ่ร้อง ส.ส.ก้าวไกล ผู้รับเหมาชุ่ยทำเหล็กโผล่ เดินสะดุดแขนหัก ค่ารักษากว่า 2 แสน ไร้การเยียวยา

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 5 ก.ค.66 นายปรีติ เจริญศิลป์ ส.ส.นนทบุรี เขต5 พรรคก้าวไกล ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.ณัฏฐณิชชา ดุลยฉัตร์วัฒนะ อายุ 39 ปี กรณี นายบุญส่ง พรหมเมตตา อายุ 56 ปี เดินสะดุดเหล็กเส้นที่โผล่ขึ้นมาบนไหล่ ทาง ทำให้ได้รับบาดเจ็บแขนขวาหักผิดรูป กระดูกแตก ข้อศอกหลุด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงคืนวันที่ 3 ก.ค.66 เวลาประมาณ 19.00 น.บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ถนนชัยพฤกษ์ตัดใหม่ ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลังเกิดเหตุเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ค่ารักษาเบื้องต้นกว่า 2 เเเสนบาท ซึ่งโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นโรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถเบิกค่ารักษาได้ วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือ

นายบุญส่ง ผู้บาดเจ็บ วันเกิดเหตุตนไปจอดรถที่หน้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง จากนั้นได้เดินไปที่ข้างปั๊มน้ำมันเพื่อทานอาหาร ซึ่งขณะนั้นทางเดินมีการก่อสร้างฟุตบาท แต่ไม่มีอะไรกั้น อีกทั้งไม่มีไฟทำให้มองไม่เห็น หลังจากนั่งทานข้าวได้สักพักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมของไว้ที่รถ จึงเดินย้อนกลับไปเอา หลังได้ของเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับไปที่ร้านอาหารเพื่อไปทานข้าวต่อ ระหว่างทาง เดินไปสะดุดเหล็กเส้นที่โผล่ออกมาจากพื้นถนนทำให้ล้มลงอย่างแรง ตอนนั้นรู้สึกเจ็บที่แขนขวามาก จึงไปหาหมอพบว่าแขนขวาหัก ปัจจุบันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งตอนนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวหลักแสนบาทแล้ว อยากจะถามว่ามีหน่วยงานไหนออกมารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง

นายปรีติ เจริญศิลป์ ส.ส.นนทบุรี เขต5 กล่าวว่า วันนี้มาดูที่เกิดเหตุและถามข้อมูลกับทางญาติผู้เสียหาย จากนั้นพาไปเเจ้งความที่ สภ.บางบัวทอง ซึ่งทาง ผกก.สภ.บางบัวทอง ก็ทำงานอย่างรวดเร็ว ลงพื้นที่พร้อมประสานทางหลวงชนบท ให้มารับผิดชอบและหาทางเยียวยาผู้เสียหายต่อไป

ทางด้าน พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก.สภ.บางบัวทอง กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบควรจะเก็บให้ดีกว่านี้ คงจะเป็นความบกพร่องของผู้รับเหมา เบื้องต้นเป็นความรับผิดชอบของเเขวงทางหลวงชนบทชัยพฤกษ์ โดยวันนี้จะเรียกมาคุยว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อไหร่ และการดูแลความปลอดภัยในการเดินเท้ามีมากน้อยเเค่ไหน เพราะเท่าที่ตรวจสอบไม่มีช่องทางที่ให้ชาวบ้านเดินได้เลย หลังจากนี้ถ้าพบความผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป

สาโรจน์ สว่างศรี / นนทบุรี

นนทบุรี ชาวบ้านร้องทนายดัง กำแพงหมู่บ้านหรูพังนานนับปี โครงการโบ้ยฟ้องชาวนา​

วันที่ 4 ก.ค.66 นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เดินทางไปที่หมู่บ้านเติมรัก5 ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย หมู่9 ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านกรณีกำแพงหมู่บ้านจัดสรรพังตั้งแต่ต้นปี2564 จนถึงปี2565 รวมทั้งหมด 6 หลัง ซึ่งบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เป็นบ้านเลขที่ 88/26-28-30-32-34-36 ซึ่งทุกหลังอยู่เรียงติดกัน หลังจากกำเเพงพัง สัตว์เลื้อยคลานจำพวก ตัวเงินตัวทอง งู ตะขาบ เข้าไปในบ้านนับครั้งไม่ถ้วน เกรงได้รับอันตราย

หมู่บ้านดังกล่าวมีทั้งหมด 71 หลังคาเรือน ราคาเริ่มต้นหลังละ 3 ล้านบาทขึ้นไป โดยบ้านที่กำแพงพังอยู่ติดกับที่นาใช้ทำการเกษตรปลูกข้าว ขณะเดียวกันพบชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า 20 คน รวมตัวถือป้ายเขียนข้อความขอความเป็นธรรม และเรียกร้องให้หน่วยงายที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือ จากนั้นชาวบ้านได้นำฆ้อนไปทุบกำแพงที่พังเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจเนื่องจากไม่สามารถทนเห็นสภาพซากปรักหักพังของกำแพงได้อีกต่อไป

นายประภาส สิงห์สกล อายุ 55 ปี อาศัยอยู่เลขที่ 88/30 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน กล่าวว่ากำเเพงบ้านพังมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากเจ้าของโครงการเลย พอนั่งมองจากในบ้านแล้วรู้สึกเครียด ซึ่งหลังบ้านมีทั้งตัวเงินตัวทอง งู และตะขาบ ที่เข้าไปในบ้านเต็มไปหมด เพราะไม่มีสิ่งที่ไปกั้นไม่ให้สัตว์พวกนี้เข้าไปได้ เมื่อก่อนมีกำแพงก็ยังมีความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ก่อนหน้านี้ได้ทำการร้องเรียนมาปีแล้ว ไปร้องเรียนที่คณะกรรมาธิการ 2 ครั้ง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอไทรน้อย ออกสื่อก็ออกมาแล้ว ทุกอย่างก็เงียบ อยากรู้ว่าติดปัญหาเรื่องอะไร ขอขอบคุณทนายรัชพล อยากให้เป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเต็มรัก5 ด้วย

นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ กล่าวว่า เบื้องต้นคิดว่าถ้าการก่อสร้างมีมาตรฐานที่ดี กำแพงก็ไม่ควรจะถล่มพังลงมา ซึ่งจากการตรวจสอบเอกสารพบว่ามีวิศวกร ระบุมาแล้วว่าเสาเข็มมันสั้นไป ในมุมมองของตนคาดว่าอาจจะมีการก่อสร้างที่ผิดแบบ คือจากแบบที่ขอไปมีเสาเข็มที่ยาว แต่จากการตรวจสอบของวิศวกรพบว่าเสาเข็มสั้นไป อาจจะมีการก่อสร้างผิดแบบ คือขอก่อสร้างไปแบบหนึ่ง แต่ก่อสร้างใหม่อีกแบบหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย อยากจะให้ผู้เสียหายเข้าแจ้งความก่อน หลังจากนั้นจะทำการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้งเพราะเรื่องนี้อาจจะยาวหน่อย คงไม่ใช่แค่วันสองวันแล้วจบ เพราะว่าต้องหาสาเหตุหลายๆอย่าง แล้วก็ต้องมีวิศวกรเข้ามาดูแลด้วย

ส่วนก่อนหน้านี้ที่ทางโครงการหมู่บ้านจัดสรรให้ไปฟ้องร้องกับชาวนานั้น มันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตามหลักของกฎหมายแล้ว คนที่รับผิดชอบต้องเป็นโครงการบ้านจัดสรร จะไปโบ้ยให้ไปฟ้องชาวนาโดยอ้างว่าชาวนาเป็นคนทำไม่ได้ เจ้าของโครงการที่ฟ้องมีหลักฐานหรือเปล่า ว่าชาวนาเป็นคนทำ เพราะจากเอกสารการตรวจสอบของวิศวกรแล้ว เขาบอกว่าเสาเข็มสั้น เพราะฉะนั้นมองแล้วเกิดจากการก่อสร้างมากกว่า ไม่ได้เกิดจากการที่ชาวนาเขาทำอะไรหรอก และเหตุผลที่ สองคือจากการสอบปากคำชาวนา เขาอยู่มาก่อนแล้ว และการสร้างหมู่บ้านเกิดขึ้นทีหลัง ก็แสดงว่าการก่อสร้างมันไม่น่าจะได้มาตรฐาน จึงเกิดการทรุดตัวของกำแพงพังอย่างที่เห็น

ทนายรัชพล กล่าวต่ออีกว่า ส่วนเรื่องประกันของโครงการที่จะหมดอายุในปี 67 ต้องดูว่าเหตุเกิดเมื่อไรถ้าเหตุเกิดก่อนที่ประกันจะหมด ทางประกันก็ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเหตุเกิดหลังจากที่ประกันหมด ประกันก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่กรณีนี้เหตุเกิดก่อนที่ประกันจะหมด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยืดเยื้อไปถึงไหน ก็ยังอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของประกันอยู่ดี

ต่อมา น.ส.ภัทรพร พนิกรณ์ อายุ 37 ปี ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านเต็มรัก5 พร้อมลูกบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เดินทางเข้าเเจ้งความที่ สภ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความโดยให้เหตุผลว่าเรื่องดังกล่าวเคยเข้าแจ้งความมาแล้ว 2 ครั้ง ทั้งหมดจึงเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง

สาโรจน์ สว่างศรี / นนทบุรี

นนทบุรี ชาวบ้านโวย!! ฝนถล่มหนักทำรั้วหมู่บ้านพังกว่า 20 เมตรโครงการไม่เหลียวแล หวั่นโจร-สัตว์มีพิษเข้าบ้าน

จากกรณีเพจอยากดังเดี๊ยวจัดให้ Return part6 โพสต์เรื่องราวจากสมาชิกว่า “#ร้องเรียนตรวจสอบ #เล่าเรื่องจากหลังไมค์ ฝากร้องเรียนหน่อย กำแพงในหมู่บ้านล้มลงมา 3 สัปดาห์แล้ว ไม่มีใครมาดำเนินการอะไรเลย โครงการนี้ยังไม่มีนิติ เป็นหมู่บ้าน ลลิล อินเดอะพาร์ค บางใหญ่ ทางลลิลยังดูแลอยู่ วันแรกที่กำแพงล้มได้โทรไปร้องเรียนที่ สนง.ใหญ่ว่าถ้ายังไม่สร้างใหม่ก็ขอให้มีอะไรมาปิดกั้นก่อนได้หรือไม่ เพราะกลัวมีผู้ไม่หวังดีเข้ามาหรือสัตว์มีพิษหรือสัตว์เลื้อยคลานเข้ามาในบ้าน มีพนง.รับเรื่องแล้ว แต่ไม่ได้ถามชื่อไว้ วันต่อมาทางลลิล ได้โทรมาแจ้งว่ามีคนมาดูแล้วแล้วจะรีบดำเนินการให้ ก็ถามไปว่าขอให้มีอะไรมาปิดก่อนได้ไหม ทางพนงงานแจ้งว่า ได้จัดรปภ มานั่งเฝ้าประจำจุดหรือตรวจทุกชั่วโมง แต่เอาจริงๆมาไม่ได้หรอกเพราะทั้งหมู่บ้านมี รปภ แค่ 2 คน 1 คนอยู่ป้อมหน้า อีกคนเฝ้าทางของคนบ้านสวน ตรงทางผ่านของคนบ้านสวนนี้ทางลูกบ้านยังมีข้อพิพาทกับทางบริษัทอยู่ (จริงๆ ยังมีข้อพิพาทอีกหลายอย่าง) ตอนที่มาซื้อทางบริษัทบอกว่าจะปิดทางเข้าออกนี้ แต่สุดท้ายก็ปิดไม่ได้เพราะทางศาลได้ตัดสินแล้วว่าทางนี้ต้องเปิดให้เดินสัญจรได้แต่ไม่ได้อนุญาตให้มาใช้ทางในหมู่บ้าน(แต่ก็มีคนในบ้านสวนขับรถเข้าออกในหมู่บ้านเพื่อมาใช้ทางเข้าตรงนี้)ทางบริษัทเลยต้องจัด รปภ. มานั่งเฝ้า 1 คน

กลับมาเข้าเรื่องกำแพงต่อ เมื่อครบ 2 อาทิตย์ได้ร้องเรียนไปทางไลน์ Officials ของทางบริษัท ทางแอดมินก็ได้รับเรื่องไว้ และประสานงานให้ ก็มีคนเข้ามาดู เหมือนจะเข้ามาทำ แต่ก็ยังไม่มีใครมาทำ จนถึงวันนี้ทางเราก็กลัวหากมีผู้ไม่หวังดีหรือสัตว์ต่างๆเข้ามาจะทำยังไง เป็นห่วงความปชอดภัยของตัวเองและลูกที่อยู่บ้าน เพราะล้มตรงข้ามบ้านเลย แค่หาอะไรมาปิดก็ไม่ทำ ขอฝากทางเพจลงสื่อหน่อยไม่งั้นคงไม่ทำงาน

ต่อมาเวลา 16.00 น.วันที่ 3 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่หมู่บ้านดังกล่าว พบเป็นโครงการขนาดใหญ่มี 419 หลังคาเรือน ตั้งอยู่ภายในซอยวัดเสาธงหิน ต.สาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยจุดที่กำแพงพังอยู่ด้านหลังของหมู่บ้าน มีความยาวด้านหลังประมาณ 200 เมตร และด้านข้างประมาณ 300 เมตร จุดที่พังล้มลงไปเป็นจุดด้านหลังโครงการติดกับร่องสวนชาวบ้านและมีต้นไม้ขึ้นรกทึบ ได้รับความเสียหายประมาณ 20 เมตร ส่วนที่เหลือกำลังเอียงใกล้ล้มอีกประมาณ 30 เมตร ซึ่งพบว่ารอยต่อกำแพงด้านหลังได้มีรอยแตกแยกออกจากกำแพงด้านข้าง คาดว่าถ้าฝนตกลงมาหนักอาจจะพังล้มลงไปอีก ตรวจสอบกำแพงที่ล้มพบว่าคาดรับน้ำหนักรั้วได้ล้มลงไปด้วยะร้อมกับกำแพง เห็นโคนเสาลอยขึ้นมาโดยไม่เห็นว่ามีเสาเข็ม หรือเหล็กยึดใดๆ ขณะเดียวกันกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะวันเกิดขณะกำแพงกำลังล้มไว้ได้อีกด้วย

จากการสอบถาม นายคมสัน นวสันชัย อายุ 40 ปี บ้านที่อยู่ตรงจุดกำแพงล้ม ผู้โพสต์ ทราบว่า กำแพงรั้วตรงจุดนี้ล้มมานาน 3 สัปดาห์แล้ว ตนได้ประสานไปที่สำนักงานใหญ่ของโครงการ ซึ่งก็รับปากว่าจะมาซ่อมให้ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ยีงไม่มีการส่งช่างมาซ่อม ซึ่งตนก็แจ้งไปแล้วว่าระหว่างรอช่างให้เอาสแลนมาปิดกันสัตว์เลื้อยคลานหรือ คนแปลกหน้าก่อน เพราะช่วงตอนกลางคืนมองออกจากบ้านมามันมืดมาก น่ากล้วอันตราย ทางโครงการได้แจ้งกลับมาว่าจะให้รปภ.มาตรวจตรงจุดนี้ทุก 2 ชม.ซึ่งรปภ.มีแค่ 2 คนไม่เพียงพอ ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดมาซ่อมแซมหรือกำหนดแล้วเสร็ตใดๆ

น.ส.อภิญญา พนากิจไพศาล อายุ 53 ปี ลูกบ้าน กล่าวว่า หลังจากกำแพงล้ม ตนได้เดินสำรวจจึงทราบว่ากำแพงรั้วไม่มีความแข็งแรง มีแต่คานลอยๆ ใช้เหล็กเส้นเล็กมากๆซึ่งเหล็กที่โผล่ออกมาเส้นเล็กประมาณ 5 มม. ตรวจดูตามหัวเสาก็ไม่พบว่ามีเสาเข็มปักลงไป ซึ่งจริงๆแล้วมันสมควรจะมีเสาเข็มเพื่อรองรับกำแพงไว้ตั้งแต่แรก เพื่อความแข็งแรง ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30 เมตร มันเอียงขนาดนี้แล้วไม่นานก็น่าจะล้ม เพราะเข้าหน้าฝนแล้ว ดินตรงจุดนี้มันทรุดตัว ทำให้ถนนมีรอยแตกตรงกลาง จึงอยากให้โครงการรีบเข้ามาแก้ไขให้เร็วกว่านี้ เพราะมีตัวเงินตัวทองที่อาศัยอยู่ในป่า ซึ่งมีขนาดตัวใหญ่มากอย่างกับจระเข้ อีกทั้งยังมีงูเหลือมตัวใหญ่ที่ชาวบ้านเคยเห็นมาแล้วก่อนหน้านี้ ไหนจะโจรที่ไม่รู้จะเข้ามาก่อเหตุเมื่อไหร่ ชาวบ้านต้องอยู่อย่างหวาดผวาไปถึงเมื่อไหร่ ถึงจะได้รับการแก้ไขเสียที

สาโรจน์ สว่างศรี / นนทบุรี

คืบหน้าผู้ว่าฯ สั่งด่วนให้ปศุสัตว์จังหวัดพะเยา สาธารณสุขอำเภอ ศูนย์ดำรงตรวจสอบ กองทัพแมลงวันบุกยึดหมู่บ้าน

27 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าว รายงานความคืบหน้าชาวบ้าน หลายหมู่บ้าน ตำบลห้วยแก้ว อ .ภูกามยาว จ.พะเยา ได้ถูกกองทัพแมลงวันเข้ายึด ได้ก่อสร้างความรำคาญทั้งคน และสัตว์ ตลอดจนอาคารบ้านเรือนและร้านอาหาร ในพื้นที่ หมู่ 5 หมู่ หมู่ 11 และหมู่ 10 ตำบลห้วยแก้ว มาร่วมอาทิตย์จน ชาวบ้านร้องขอการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

บ่ายวันนี้ ว่าที่ร้อยตรีณรงค์ศักดิ์ โรจนโสทร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ให้มอบหมายให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสาธารณสุขอำเภอภูกามยาวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาดังกล่าว จากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า เมื่อ 4 วันที่ผ่านมา เริ่มมีแมลงวันจำนวนมากพากันบิน เข้ามาเกาะตาม อาคารบ้านเรือน ร้านอาหาร และทุกวถานที่รวมทั้งตัวคน สร้างความเดือดร้อนรำคาญ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุระกิจร้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบจนไม่สามารถทำยอดขายได้เนื่องจาก ผู้ใช้บริการมีความกังวลเรื่องความสะอาด

นายอนิรุธ เนื่องเม็ก ปศุสัตว์จังหวัดพะเยา พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ ที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของการเกิดแมลงวัน เป็นกองมูลสัตว์ ที่นำมาทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ในสวนและใช้เพื่อการเกษตร ในพื้นที่ เขตติดต่อของ ต.ห้วยลาน อ.ดอกคำใต้ และ ต.ห้วยแก้ว อ.ภูกามยาว จึงได้ทำการแจ้งแก่เจ้าของสวนให้ทำการแก้ไขปัญหาโดยด่วน โดยใช้สารกำจัดแมลง และกำชับให้มีการตรวจป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่พันธุ์ของแมลงวันอีก

ปัณณวิชญ์ อยู่ดี จังหวัดพะเยา

ตราด (ข่าวร้องทุกข์) ชาวบ้าน ผู้ประกอบการร้อง บ่อหมักแมงกะพรุน ทิ้งน้ำเสียลงทะเล เล่นน้ำแล้วคัน ส่งกลิ่นเหม็น นทท.ไม่เข้าพัก เผยร้องทุกข์ศูนย์ดำรงธรรมแล้วเรื่องกลับเงียบ

วันที่ 27 มิถุนายน 2566 น.ส เหมือนฝัน ชลาลัย 15 ม.5 ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด อายุ 40 ปี เจ้าของบ้านพักตากอากาศ 3 หลังบ้านตาหนึก ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้บ่อหมักแมงกะพรุนบ้านตาหนึก เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ธุรกิจบ้านพักตากอากาศของตนเองได้รับผลกระทบจากบ่อหมักแมงกะพรุนแบบเต็มๆ คือ บ่อหมักส่งกลิ่นเหม็น นักท่องเทียวมาพักแล้วพากันเช็คเอาท์ออกไป โดยบอกว่า กลิ่นเหม็นมาก ไม่มีความสุข และขณะลงเล่นน้ำทะเลตามชายหาด ยังมีอาการคันอย่างรุนแรง ทำให้บ้านพักของตนเอง ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเข้าพักอีกเลย โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานเกือบครึ่งเดือนแล้ว ซึ่งตนได้ไปร้องศูนย์ดำรงธรรมอำเภอคลองใหญ่แล้ว และมีนายอำเภอคลองใหญ่ ตลอดจนหน่วยงานสาธารณสุข ลงมาตรวจสอบแล้วเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ทุกวันนี้เจ้าของบ่อแมงกะพรุนก็ยังปล่อยน้ำเสียลงทะเลอยู่เหมือนเดิม และก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่เหมือนเดิม ตนไม่เข้าใจว่า ทำไมหน่วยงานราชการถึงไม่ยอมแก้ปัญหาดังกล่าวให้ เพราะทั้งชาวบ้าน และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ต่างก็ได้รับผลกระทบ และเดือดร้อนไปตามกัน

น.ส.ทัชฎาพร ดอนชัย อายุ 30 ชาวบ้านใกล้บ่อหมักแมงกะพรุน บอกว่า ตนเองและชาวบ้านอีกหลายคน ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีกลิ่นเหม็นจากบ่อหมักแมงกะพรุน กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ชาวบ้านหลายคนกลางวันต้องออกไปพักบ้านญาติ ที่ไกลจากบ่อหมักแมงกะพรุน เพราะจะมีลมทะเลพัดเข้าฝั่งและพากลิ่นเหม็นจากน้ำหมักแมงกะพรุนเข้ามาด้วย ขณะที่ น.ส.อรพรรณ ชลาลัย อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 168 ม.5 ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ และป่วยเส้นเลือดสมองตีบนอนติดเตียง ไปไหนไม่ได้ บอกว่าต้องทนกับกลิ่นเหม็นของบ่อหมักแมงกะพรุน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากให้ช่วยแก้ปัญหาให้ด้วย

ซึ่งเรื่องดังกล่าว นายวิโรจน์ ขันนิคม เจ้าของบ่อหมัก ยืนยัน บ่อหมักไม่กระทบกับชาวบ้าน และน้ำที่ปล่อยทิ้งลงทะเลก็ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม เพราะใช้แค่เกลือ โซเดียม และสารส้ม ในการฟอกขาว ล้างเมือกแมงกะพรุนเท่านั้น และที่ผ่านมาก็ไม่มีชาวบ้านมาร้องว่าเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของบ่อหมักแมงกะพรุนแต่อย่างไร อีกทั้งนายอำเภอคลองใหญ่ก็บอกให้เจรจาไกล่เกลี่ยกันระหว่างชาวบ้าน ผู้ประกอบการ และบ่อหมักแมงกะพรุนว่า จะต้องให้ทำอย่างไรบ้าง ก็ต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อความสบายใจทั้ง 2 ฝ่ายอีกต่อไป

ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ตราด

นครราชสีมา สุดช้ำ!! เอารถเข้าอู่จ่ายเกือบ 3 หมื่น ก่อนซ่อมไม่แจ้งรายการ ขับได้ไม่กี่วันรถพัง อู่ปัดไม่รับผิดชอบ

วันที่ 27 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป้าพูนทรัพย์ วัย 70 ปี ออกมาร้องสื่อว่า ได้นำรถไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลโพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พอซ่อมเสร็จขณะจะขับรถไปกรุงเทพฯ รถได้ไปเสียที่ อ.ปากช่อง ทางอู่ไม่รับผิดชอบ จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน

นางพูนทรัพย์ บูรณ์โภคา อายุ 70 ปี แม่ค้าขายเห็ด ชาวบ้านหนองปลิง หมู่ 7 ต.สุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ประมาณวันที่ 13 เมษายน 2566 รถยนต์มาสด้า3 ที่ใช้อยู่เป็นประจำ เกิดเสียใช้งานไม่ได้ จึงติดต่อ อู่เริงศักดิ์ ให้ช่วยมานำรถไปซ่อม อู่เริงศักดิ์ แจ้งรายการข้อมูล พร้อมราคาให้คุณป้าทราบว่า มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมประมาณ 37,500 บาท รับประกัน 1 ปี แต่อู่เริงศักดิ์ ขอเรียกเก็บเงินกับคุณป้าก่อน 20,000 บาท ซึ่งคุณป้าช่วงนั้นยังหาเงินไม่ทัน เลยติดต่อไปที่ อู่ซ่อมรถรายที่สอง อู่ภัทรพล ซึ่งเคยดูแลรถกันมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรมาก อู่ภัทรพล เรียกค่าใช้จ่ายในการซ่อม 26,500 บาท และบอกว่าซ่อมไม่เกิน 5 ถึง 7 วัน รถเสร็จ วันมารับรถคืนค่อยจ่ายค่าซ่อมทั้งหมด คุณป้าเลยเลือกที่จะซ่อมกับอู่ภัทรพล แต่สุดท้ายเมื่อมารับรถกลับไปใช้งาน เพียงไม่กี่วันอาการก็ยังไม่ดี ขับๆ อยู่ความร้อนขึ้น หม้อน้ำแห้ง จึงตัดสินใจส่งรถกลับมาซ่อมที่กรุงเทพ ร้านที่ซ่อมกันประจำ ปัจจุบันรถกลับมาใช้ได้เป็นปกติ จึงอยากให้ทางอู่ภัทรพล ออกมารับผิดชอบ คืนเงินค่าซ่อมรถให้กับเรา เพราะที่ผ่านมาเหมือนไม่มีการซ่อมรถแต่อย่างใด เคยทวงถามเรื่องอะไหล่ หรืออุปกรณ์ในการซ่อมที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเห็น

ป้าพูนทรัพย์ เล่าทั้งน้ำตาว่า พอลูกทราบข่าวลูกก็คิดมากเสียใจ เนื่องจากลูกชายรู้ว่าตนได้เอารถไปจำนำที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ได้บอกกับลูกชายว่าเดี๋ยวแม่กลับมานะ วันนั้นได้โทรคุยกับลูก หลังจากนั้นช่วงค่ำกลับมาถึงที่บ้าน เปิดประตูเข้าไปก็เห็นลูกนอนเสียชีวิตอยู่หน้าประตู จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังอู่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พบนายภัทรพล (เจ้าของอู่ซ่อมรถ) ซึ่งไม่สะดวกให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์แต่ได้ให้เพียงข้อมูลว่า ทางอู่มีเพียงหลักฐานอย่างชัดเจนว่าซ่อมอะไรบ้าง ทางคุณป้าก็รับรู้หลังจากคุณป้าได้นำรถมาจอดซ่อมที่อู่เสร็จก็ได้มาดูรถอยู่เรื่อยๆ ก็ได้แจ้งด้วยวาจา ไม่ทราบว่าทำไมคุณป้าถึงมาร้องสื่อแบบนี้ สาเหตุที่รถเสีย เป็นเพราะว่าสายหม้อน้ำหลุดทำให้เครื่องยนต์น็อค ทางอู่ก็ได้ถอดฝาเครื่องเปลี่ยนให้หมดตามรายการที่เขียนไว้ ก่อนหน้านี้ป้าก็ได้มาบีบแตรแล้วตะโกนด่าหน้าร้าน แต่ตนก็ยังรับว่าไม่มีประกันหลังซ่อม เนื่องจากว่านำรถออกจากอู่แล้วประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์และทราบว่าได้ขับไปเสียที่ อ.ปากช่อง

ภาพ-ข่าว / อภิรักษ์ ศรีอัศวิน ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำ จ.นครราชสีมา

Social Media Auto Publish Powered By : XYZScripts.com