นครราชสีมา-ช่วยด้วย! ชาวนาโคราชร้องขอความเป็นธรรม ยื่นฟ้องกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำพลาด หลังน้ำท่วมหนักเสียหายกว่า 30 ล้าน

นครราชสีมา-ช่วยด้วย! ชาวนาโคราชร้องขอความเป็นธรรม ยื่นฟ้องกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำพลาด หลังน้ำท่วมหนักเสียหายกว่า 30 ล้าน

นครราชสีมา-ช่วยด้วย! ชาวนาโคราชร้องขอความเป็นธรรม ยื่นฟ้องกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำพลาด หลังน้ำท่วมหนักเสียหายกว่า 30 ล้าน

 

วันที่ 14 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลปกครองนครราชสีมา นายวีรวิทย์ เชื้อจันอัด อายุ 42 ปี เจ้าของฟาร์มแช่มชื่นโฮมสเตย์ ตำบลตาจั่น อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมชาวบ้านที่เดือนร้อน ซึ่งเป็นเกษตรกรในพื้นที่ อำเภอคง อำเภอพิมาย และ อำเภอโนนสูง จำนวน 11 ราย ได้มารวมตัวนัดฟ้องคดีและนำเอกสารหลักฐานภาพถ่ายยื่นฟ้องกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดี เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย กรณีกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ทำให้เกิดน้ำท่วมขังพื้นที่บ้านพักอาศัยและแปลงเกษตรกร ได้รับความเสียหาย รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท โดยถือป้ายข้อความระบุว่า “ขอความเป็นธรรมจากศาลปกครองให้ชาวนา จากความผิดพลาดในการจัดการน้ำของเขื่อนลำเชียงไกร โปรดช่วยเราด้วย” “โปรดช่วยเยียวยาด้วย รอมาเป็นปีแล้วแต่หายเงียบและเงียบหาย กรมชลประทานไม่รับผิดชอบ” โดยมีนายฉัตรชัย เอมราช ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 259-269/2565

 

นายวีรวิทย์ เชื้อจันอัด ชาวบ้านผู้เสียหาย เปิดเผยว่า พื้นที่แหล่งทำกินของผู้ฟ้องคดีตั้งอยู่นอกเขตประกาศแจ้งเตือนภัย เมื่อเกิดเหตุอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่าง อำเภอโนนไทย ทรุดเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำไหลทะลักท่วมฟาร์มปลาทับทิมขนาด 20 ตัน กุ้ง 5 ตัน รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องจักรกล บ้านเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ได้รับความเสียหาย สาเหตุเกิดจากการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดส่งผลให้ประชาชนที่มีที่บ้านและทำกินตั้งอยู่ท้ายอ่างได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประชาชนเป็นผู้เสียภาษีต้องสิ้นเนื้อประดาตัวมีภาระหนี้สินจำนวนมาก จึงต้องพึ่งศาลปกครองดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งยังมีผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่า 100 ราย ไม่กล้าออกมาต่อสู้และบางรายอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานยื่นฟ้องเรียกร้องขอความเป็นธรรม ก่อนหน้านี้ตนและพวกได้พยายามเรียกร้องตามสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยกรมชลประทานได้บ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลีมาตลอด

 

นางจำรัส เข็มณรงค์ อายุ64ปี ชาวบ้าน ตำบลกระเบื้องใหญ่ อำเภอพิมาย เล่าว่า นาข้าว 21 ไร่ ของตนอยู่นอกเขตพื้นที่แจ้งเตือนภัยน้ำท่วม ตนเองจึงประสบปัญหาน้ำท่วมมา3ปี ล่าสุดกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ถูกมวลน้ำทำลายเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงเดือดร้อนมาก ก่อนหน้าที่ไม่กล้าออกมาร้องเรียน เพราะว่ากรมชลประทานเป็นของหน่วยงานรัฐ ชาวบ้านคงไม่มีปัญญาสู้ได้ แถมยังโดนหน่วยงานรัฐข่มขู่ถ้าออกมาร้องเรียนจะไม่ได้ค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ1000บาท ก็ต้องยอม เพราะดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่มาวันนี้ตนเองสุดจะทนมีทั้งรายจ่ายในครอบครัว และเงินที่ใช้ลงทุนในการทำนา ที่หน่วยงานที่เกี่ยวยังไม่มาดูแลผ่านมาเป็นปีแล้ว อยากจะฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเวลาฤดูแล้งก็ไม่ปล่อยน้ำมาช่วยชาวนา แต่พอฤดูกาลน้ำหลากก็ผลักดันน้ำลงในพื้นที่ของชาวนา จนได้รับผลกระทบ

 

ด้านนางสะอิ้ง คุณยายวัย89ปี ชาวบ้านที่เดือดร้อน เล่าว่า โดนน้ำท่วมมาแล้ว3ปีซ้อน หลังๆมาทำไม่ไหว จึงให้ลูกๆมาช่วยทำ เคยเจอน้ำท่วมมาหลายครั้ง แต่ไม่หนักเหมือนปี54 นาข้าวเสียหายทั้งหมด23ไร่ ได้รับการเยียวยาบางส่วนจากเกษตรแต่ยังไม่เพียงพอกับการซื้อปุ๋ยและเมล็ดพันธ์ข้าวที่จะทำนาในปีต่อไป จึงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลด้วย..

 

ภาพข่าว/อภิรักษ์ ศรีอัศวิน ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดนครราชสีมา

สาวเจ้าของร้าน”ก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก” ร้อง กมธ.แรงงานตำรวจ ขอความเป็นธรรม หลังถูกตร.ตม.จับลูกจ้างโดยไม่ชอบธรรม

สาวเจ้าของร้าน”ก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก” ร้อง กมธ.แรงงานตำรวจ ขอความเป็นธรรม หลังถูกตร.ตม.จับลูกจ้างโดยไม่ชอบธรรม

วันที่ 7 กันยายน 65 เวลา 11.00.น. รัฐสภา น.ส.กัญญาพัชร์ ขจรวงศ์วาณิช อายุ 37 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม กับ นายจีณัฎฐ์ สีชมพู ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง นายจิระภาคย์ เปรมพิริยธรณ์ ที่ปรึกษาประธานอนุกรรมาธิการตำรวจ รับเรื่องร้องเรียนตำรวจ และนายปริญญา จิตติเจษฎาภรณ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการตำรวจ และ ทนายความ ยื่นหนังสือร้องเรียน เพื่อขอความเป็นธรรมกรณี ชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ตม.เข้าตรวจสอบร้านโดยไม่ได้แสดงบัตร แล้วตั้งข้อหา ว่าลูกจ้างมีที่พักไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ในบัตร เรียกค่าปรับหน้าร้านจำนวนคนละ 4,000 บาท ก่อนจะพาขึ้นรถตู้ ซึ่งทราบภายหลังว่า 3ใน 5คน เป็นตำรววจ ตม.จริง แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้มาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมและคุ้มครองตนในฐานะนายจ้างและลูกจ้างของตน

 

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น มีความหวังในชั้นอัยการและชั้นศาล ผู้เสียหายขอพูดให้ชัดๆ จะได้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อ และให้รู้ขั้นตอนการเอาผิดทางกฏหมายที่ละเอียดอ่อน เผยประวัติผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา พบมีผู้เสียหายอีกเพียบ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกร่วมลงทุนค้าเงินต่างประเทศ หรือเล่นหุ้นดาวโจนส์ แล้วสูญเสียเงินไปรวม 206 ล้านบาท

เริ่มต้นคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงจำนวน 2 คน มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและร้านขายยาชื่อดังในทั้ง อ.เมือง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อรอพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย คือ นางสาวอัจฉริยะญาณี หรือ นางกุ๊กไก่หรือเฟรช (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี, และ นายไชยเวทย์ หรือ นายเคน (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ที่เป็นสามีภรรยากัน นางกุ๊กไก่ หรือเฟรช อยู่บางกระปิ กรุงเทพ เป็นหมู่บ้านชื่อดังของกรุงเทพ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ซื้อไว้อยู่อาศัยในราคาหลังละหลายสิบล้านบาท (บ้านเดิมของ นางเฟรช เป็นชาว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ส่วนนายเคน บ้านเดิมเป็นชาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความสนิทสนมกับครอบครัวผู้เสียหาย จึงถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น) สองผัวเมียตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ฉ่อโกงทรัพย์ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารทางราชการปลอม และ คดีสมคบโดยการตกลงกันสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565

ผู้ต้องหาสองผัวเมีย เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 ในลักษณะให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น ซื้อหุ้น แล้วปลอมแปลงเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหาย อ้างว่าเงินเข้าสมุดบัญชีแล้ว โดยทำบัญชีและทำสเตทเม้นปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเหยื่ออ้างว่า เงินที่เล่นหุ้นเข้าบัญชีจำนวนมาก นำมาโชว์ให้ดู และยังอ้างดำเนินการเสียภาษีที่ดิน ให้ผู้เสียหายนำโฉนดที่ดินส่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ปลอมแปลงเอกสารการเสียภาษีของสรรพากร แล้วมาเรียกรับเงินเหยื่อ เป็นต้น

พนักงานสอบสวนในคดีคือ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 สิงหาคม วันแรกที่ตกเป็นข่าว เจ้าหน้าที่นัดผู้ต้องหาสองผัวเมียมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองกำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ จณะเดียวกัน ผู้เสียหายก็ต้องการพบตัวผู้ต้องหา เพื่อจะได้พูดคุยให้ชดใช้เงินที่หลอกไป แต่ผู้ต้องหาผัวเมียทั้งคู่ให้ทนายมาดูที่ประตูทางเข้า สนง.กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ก่อน พอเห็นว่า มีคู่กรณีและสื่อมวลชนรอทำข่าว ก็ขับรถออกไป ต่อมาผู้ต้องหาสองผัวเมียและทนายความ ได้แจ้งกับตำรวจว่า จะมอบตัวที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ได้นำเอกสารไปให้ผู้ต้องหาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา

ผู้เสียหายที่รอพบก็ไม่ได้พบ จึงเข้าพบกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งถึงความเดือดร้อนและขอคำแนะนำการคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถาม แจ้งตำรวจหรือไม่ว่า ต้องการคัดค้านการประกันตัว ผู้เสียหายบอก แจ้งตลอด และติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีตลอดมา

ต่อมาตำรวจนัดผู้ต้องหาสองผัวเมีย ให้มารายงานตัวในวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในคดีความผิดดังกล่าว และจะส่งผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ แต่ผู้ต้องหาไม่ไปโรงพัก สภ.ฝาง ได้ส่งเพียงทนายมาเลื่อนการมอบตัวไปเป็นวันอื่น

ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2565 ตำรวจจะออกหมายจับสองผัวเมีย หากไม่มามอบตัวก่อนเที่ยงวัน ของวันที่ 2 กันยายน 2565 แต่ช่วงสายของวันเดียวกัน ผู้ต้องหาสองผัวเมียเดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจได้นำสำนวนและตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งให้สำนักงานอัยการฝาง แล้วปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาเดินทางออกจากสำนักงานอัยการจังหวัดฝางในสายของวันเดียวกันทันที

ผู้สื่อข่าวถามผู้เสียหายว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพื่อจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนที่โรงพักฝาง และในชั้นอัยการด้วยนั้น ผู้เสียหายบอกว่า ในเช้าวันที่ 2 กันยายน โทรไปหาตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้งแต่ไม่รับสายเลย จนกระทั้งตนเดินทางมาที่อัยการจังหวัดฝาง เมื่อเวลา 11.30 น.ก็ทราบว่า ผู้ต้องหาสองผัวเมีย ได้มามอบตัวและเดินทางออกไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าไปที่สำนักงานอัยการแล้ว

ผู้สื่อข่าวถาม ผู้เสียหายแจ้งคัดค้านการประกันตัวทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหาย บอกว่า แจ้งเรื่องคัดค้านการประกันตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เพื่อให้ทางสำนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ทราบว่า วงเงินความเสียหายของตน จำนวนมากถึง 206 ล้าน เตรียมเอกสารต่างๆไว้จำนวนมาก พร้อมหนังสือคัดค้านการประกันตัว เพื่อจะขอคัดค้านการประกันตัวไว้ก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า จะต้องรอผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาก่อนถึงจะยื่นหนังสือได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาไม่ทันในช่วงผู้ต้องหามามอบตัวในชั้นอัยการและไม่พบผู้ต้องหาแล้วนั้น ก็ยื่นหนังสือคำร้องส่งให้ทางสำนักงานอัยการไปตามขั้นตอนแล้ว เพื่อให้ทางอัยการจังหวัดฝางได้ตรวจสำนวนในคดีก่อน ทางเราผู้เสียหายจะรอ จะติดตาม จนกว่าจะส่งฟ้องศาลจังหวัดฝางก็จะคัดค้านการประกันตัวต่อไป

ผู้เสียหาย บอกอีกว่า “ช่วงที่ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวที่อัยการแล้วไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหามาในลักษณะไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ไม่ฝากขังผู้ต้องหามาก่อนเลย ส่งผู้ต้องหามาในลักษณะ “ทราบนัดมา” เมื่อนำตัวส่งสำนักงานอัยการจังหวัดฝาง ผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องประกันตัวออกไปได้

ผู้สื่อข่าวถาม เป็นห่วงและติดใจอะไรอีกหรือไม่ ผู้เสียหาย บอกว่า ตั้งแต่มีการแจ้งความเอาผิดสองผัวเมียที่หลอกตน ที่แจ้งความไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ก็นานหลายเดือน จนกระทั้งเริ่มเป็นข่าววันที่ 31 สิงหาคม 2565 ก็ติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีได้ตลอด ให้ข้อมูลหลักฐาน และประสานเรื่องความคืบหน้าในคดี แต่การดำเนินงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ยอมรับว่า มีความละเอียดอ่อน จนบางครั้งไม่เข้าใจว่า บางเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแบบเรา เสียเงินไปมากถึง 206 ล้านบาท ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเป็นห่วงว่าผู้กระทำความผิดทั้งสองจะเอาทรัพย์สินและเงินทองของเราไปแล้วจะโยกย้ายทรัพย์สินไปที่อื่นนั้น ซึ่งขั้นตอนต่างๆทำได้ไม่ง่ายเลย

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า “เขาฉ้อโกงเงินของเรา เอาเงินเราไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรู เที่ยวต่างประเทศครั้งละ 5-6 ล้านบาท เท่าที่ติดตามในเฟซบุ๊ก เขามีความสุข ในขณะที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขาย เก็บเงินเก็บทองสะสมไว้ เมื่อเขาหลอกเรา เอาเงินเราไป พอมีคดีความ ยังพบปัญหาต่างๆที่มีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่เราเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ทราบมาก่อน เช่น การที่เราแจ้งคัดค้านการประกันตัวมาตั้งแต่ต้น เพราะเงินที่เราเสียหายไปจำนวนมาก ผู้ต้องหาก็สามารถได้ประกันตัวไป แต่เมื่อมาถึงชั้นอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดหน้าที่ไปแล้ว ต่อไปทางตนและครอบครัว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวที่ส่งให้อัยการจังหวัดฝาง จะช่วยให้เราและครอบครัวมีความหวังมาก ก่อนที่มีการส่งฟ้องต่อศาล”

ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้าย และบอกอีกว่า กรณีของตน ต้องการให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ถูกหลอกถูกฉ่อโกง ก็ขอให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยจะได้เอาผิดคนที่ตั้งใจมาหลอกเขาทำอย่างไร และยังทราบอีกว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ถูกสองผัวเมียคู่นี้หลอกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งประวัติของผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังก่อเหตุแบบนี้อยู่.

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น มีความหวังในชั้นอัยการและชั้นศาล ผู้เสียหายขอพูดให้ชัดๆ จะได้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อ และให้รู้ขั้นตอนการเอาผิดทางกฏหมายที่ละเอียดอ่อน เผยประวัติผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา พบมีผู้เสียหายอีกเพียบ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกร่วมลงทุนค้าเงินต่างประเทศ หรือเล่นหุ้นดาวโจนส์ แล้วสูญเสียเงินไปรวม 206 ล้านบาท

เริ่มต้นคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงจำนวน 2 คน มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและร้านขายยาชื่อดังในทั้ง อ.เมือง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อรอพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย คือ นางสาวอัจฉริยะญาณี หรือ นางกุ๊กไก่หรือเฟรช (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี, และ นายไชยเวทย์ หรือ นายเคน (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ที่เป็นสามีภรรยากัน นางกุ๊กไก่ หรือเฟรช อยู่บางกระปิ กรุงเทพ เป็นหมู่บ้านชื่อดังของกรุงเทพ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ซื้อไว้อยู่อาศัยในราคาหลังละหลายสิบล้านบาท (บ้านเดิมของ นางเฟรช เป็นชาว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ส่วนนายเคน บ้านเดิมเป็นชาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความสนิทสนมกับครอบครัวผู้เสียหาย จึงถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น) สองผัวเมียตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ฉ่อโกงทรัพย์ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารทางราชการปลอม และ คดีสมคบโดยการตกลงกันสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565

ผู้ต้องหาสองผัวเมีย เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 ในลักษณะให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น ซื้อหุ้น แล้วปลอมแปลงเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหาย อ้างว่าเงินเข้าสมุดบัญชีแล้ว โดยทำบัญชีและทำสเตทเม้นปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเหยื่ออ้างว่า เงินที่เล่นหุ้นเข้าบัญชีจำนวนมาก นำมาโชว์ให้ดู และยังอ้างดำเนินการเสียภาษีที่ดิน ให้ผู้เสียหายนำโฉนดที่ดินส่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ปลอมแปลงเอกสารการเสียภาษีของสรรพากร แล้วมาเรียกรับเงินเหยื่อ เป็นต้น

พนักงานสอบสวนในคดีคือ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 สิงหาคม วันแรกที่ตกเป็นข่าว เจ้าหน้าที่นัดผู้ต้องหาสองผัวเมียมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองกำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ จณะเดียวกัน ผู้เสียหายก็ต้องการพบตัวผู้ต้องหา เพื่อจะได้พูดคุยให้ชดใช้เงินที่หลอกไป แต่ผู้ต้องหาผัวเมียทั้งคู่ให้ทนายมาดูที่ประตูทางเข้า สนง.กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ก่อน พอเห็นว่า มีคู่กรณีและสื่อมวลชนรอทำข่าว ก็ขับรถออกไป ต่อมาผู้ต้องหาสองผัวเมียและทนายความ ได้แจ้งกับตำรวจว่า จะมอบตัวที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ได้นำเอกสารไปให้ผู้ต้องหาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา

ผู้เสียหายที่รอพบก็ไม่ได้พบ จึงเข้าพบกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งถึงความเดือดร้อนและขอคำแนะนำการคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถาม แจ้งตำรวจหรือไม่ว่า ต้องการคัดค้านการประกันตัว ผู้เสียหายบอก แจ้งตลอด และติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีตลอดมา

ต่อมาตำรวจนัดผู้ต้องหาสองผัวเมีย ให้มารายงานตัวในวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในคดีความผิดดังกล่าว และจะส่งผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ แต่ผู้ต้องหาไม่ไปโรงพัก สภ.ฝาง ได้ส่งเพียงทนายมาเลื่อนการมอบตัวไปเป็นวันอื่น

ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2565 ตำรวจจะออกหมายจับสองผัวเมีย หากไม่มามอบตัวก่อนเที่ยงวัน ของวันที่ 2 กันยายน 2565 แต่ช่วงสายของวันเดียวกัน ผู้ต้องหาสองผัวเมียเดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจได้นำสำนวนและตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งให้สำนักงานอัยการฝาง แล้วปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาเดินทางออกจากสำนักงานอัยการจังหวัดฝางในสายของวันเดียวกันทันที

ผู้สื่อข่าวถามผู้เสียหายว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพื่อจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนที่โรงพักฝาง และในชั้นอัยการด้วยนั้น ผู้เสียหายบอกว่า ในเช้าวันที่ 2 กันยายน โทรไปหาตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้งแต่ไม่รับสายเลย จนกระทั้งตนเดินทางมาที่อัยการจังหวัดฝาง เมื่อเวลา 11.30 น.ก็ทราบว่า ผู้ต้องหาสองผัวเมีย ได้มามอบตัวและเดินทางออกไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าไปที่สำนักงานอัยการแล้ว

ผู้สื่อข่าวถาม ผู้เสียหายแจ้งคัดค้านการประกันตัวทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหาย บอกว่า แจ้งเรื่องคัดค้านการประกันตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เพื่อให้ทางสำนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ทราบว่า วงเงินความเสียหายของตน จำนวนมากถึง 206 ล้าน เตรียมเอกสารต่างๆไว้จำนวนมาก พร้อมหนังสือคัดค้านการประกันตัว เพื่อจะขอคัดค้านการประกันตัวไว้ก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า จะต้องรอผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาก่อนถึงจะยื่นหนังสือได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาไม่ทันในช่วงผู้ต้องหามามอบตัวในชั้นอัยการและไม่พบผู้ต้องหาแล้วนั้น ก็ยื่นหนังสือคำร้องส่งให้ทางสำนักงานอัยการไปตามขั้นตอนแล้ว เพื่อให้ทางอัยการจังหวัดฝางได้ตรวจสำนวนในคดีก่อน ทางเราผู้เสียหายจะรอ จะติดตาม จนกว่าจะส่งฟ้องศาลจังหวัดฝางก็จะคัดค้านการประกันตัวต่อไป

ผู้เสียหาย บอกอีกว่า “ช่วงที่ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวที่อัยการแล้วไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหามาในลักษณะไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ไม่ฝากขังผู้ต้องหามาก่อนเลย ส่งผู้ต้องหามาในลักษณะ “ทราบนัดมา” เมื่อนำตัวส่งสำนักงานอัยการจังหวัดฝาง ผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องประกันตัวออกไปได้

ผู้สื่อข่าวถาม เป็นห่วงและติดใจอะไรอีกหรือไม่ ผู้เสียหาย บอกว่า ตั้งแต่มีการแจ้งความเอาผิดสองผัวเมียที่หลอกตน ที่แจ้งความไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ก็นานหลายเดือน จนกระทั้งเริ่มเป็นข่าววันที่ 31 สิงหาคม 2565 ก็ติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีได้ตลอด ให้ข้อมูลหลักฐาน และประสานเรื่องความคืบหน้าในคดี แต่การดำเนินงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ยอมรับว่า มีความละเอียดอ่อน จนบางครั้งไม่เข้าใจว่า บางเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแบบเรา เสียเงินไปมากถึง 206 ล้านบาท ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเป็นห่วงว่าผู้กระทำความผิดทั้งสองจะเอาทรัพย์สินและเงินทองของเราไปแล้วจะโยกย้ายทรัพย์สินไปที่อื่นนั้น ซึ่งขั้นตอนต่างๆทำได้ไม่ง่ายเลย

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า “เขาฉ้อโกงเงินของเรา เอาเงินเราไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรู เที่ยวต่างประเทศครั้งละ 5-6 ล้านบาท เท่าที่ติดตามในเฟซบุ๊ก เขามีความสุข ในขณะที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขาย เก็บเงินเก็บทองสะสมไว้ เมื่อเขาหลอกเรา เอาเงินเราไป พอมีคดีความ ยังพบปัญหาต่างๆที่มีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่เราเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ทราบมาก่อน เช่น การที่เราแจ้งคัดค้านการประกันตัวมาตั้งแต่ต้น เพราะเงินที่เราเสียหายไปจำนวนมาก ผู้ต้องหาก็สามารถได้ประกันตัวไป แต่เมื่อมาถึงชั้นอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดหน้าที่ไปแล้ว ต่อไปทางตนและครอบครัว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวที่ส่งให้อัยการจังหวัดฝาง จะช่วยให้เราและครอบครัวมีความหวังมาก ก่อนที่มีการส่งฟ้องต่อศาล”

ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้าย และบอกอีกว่า กรณีของตน ต้องการให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ถูกหลอกถูกฉ่อโกง ก็ขอให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยจะได้เอาผิดคนที่ตั้งใจมาหลอกเขาทำอย่างไร และยังทราบอีกว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ถูกสองผัวเมียคู่นี้หลอกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งประวัติของผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังก่อเหตุแบบนี้อยู่.

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น

ผู้เสียหายถูกหลอก เล่นหุ้นดาวโจนส์ สูญเงิน 206 ล้านบาท มีข้อสงสัยตั้งแต่เริ่มตกเป็นข่าว มาถึงวันนี้ หลายเรื่องหลายประเด็น มีความหวังในชั้นอัยการและชั้นศาล ผู้เสียหายขอพูดให้ชัดๆ จะได้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ต้องการให้ใครตกเป็นเหยื่อ และให้รู้ขั้นตอนการเอาผิดทางกฏหมายที่ละเอียดอ่อน เผยประวัติผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา พบมีผู้เสียหายอีกเพียบ

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกร่วมลงทุนค้าเงินต่างประเทศ หรือเล่นหุ้นดาวโจนส์ แล้วสูญเสียเงินไปรวม 206 ล้านบาท

เริ่มต้นคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงจำนวน 2 คน มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและร้านขายยาชื่อดังในทั้ง อ.เมือง และ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อรอพบผู้ต้องหาสองผัวเมีย คือ นางสาวอัจฉริยะญาณี หรือ นางกุ๊กไก่หรือเฟรช (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี, และ นายไชยเวทย์ หรือ นายเคน (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ที่เป็นสามีภรรยากัน นางกุ๊กไก่ หรือเฟรช อยู่บางกระปิ กรุงเทพ เป็นหมู่บ้านชื่อดังของกรุงเทพ ที่ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ซื้อไว้อยู่อาศัยในราคาหลังละหลายสิบล้านบาท (บ้านเดิมของ นางเฟรช เป็นชาว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ส่วนนายเคน บ้านเดิมเป็นชาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความสนิทสนมกับครอบครัวผู้เสียหาย จึงถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น) สองผัวเมียตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ฉ่อโกงทรัพย์ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และ ใช้เอกสารทางราชการปลอม และ คดีสมคบโดยการตกลงกันสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และ ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน โดยผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565

ผู้ต้องหาสองผัวเมีย เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 ในลักษณะให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น ซื้อหุ้น แล้วปลอมแปลงเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหาย อ้างว่าเงินเข้าสมุดบัญชีแล้ว โดยทำบัญชีและทำสเตทเม้นปลอมขึ้นมา เพื่อหลอกลวงเหยื่ออ้างว่า เงินที่เล่นหุ้นเข้าบัญชีจำนวนมาก นำมาโชว์ให้ดู และยังอ้างดำเนินการเสียภาษีที่ดิน ให้ผู้เสียหายนำโฉนดที่ดินส่งให้ผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ปลอมแปลงเอกสารการเสียภาษีของสรรพากร แล้วมาเรียกรับเงินเหยื่อ เป็นต้น

พนักงานสอบสวนในคดีคือ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 สิงหาคม วันแรกที่ตกเป็นข่าว เจ้าหน้าที่นัดผู้ต้องหาสองผัวเมียมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองกำกับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ จณะเดียวกัน ผู้เสียหายก็ต้องการพบตัวผู้ต้องหา เพื่อจะได้พูดคุยให้ชดใช้เงินที่หลอกไป แต่ผู้ต้องหาผัวเมียทั้งคู่ให้ทนายมาดูที่ประตูทางเข้า สนง.กองบังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ก่อน พอเห็นว่า มีคู่กรณีและสื่อมวลชนรอทำข่าว ก็ขับรถออกไป ต่อมาผู้ต้องหาสองผัวเมียและทนายความ ได้แจ้งกับตำรวจว่า จะมอบตัวที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.พิชัย บังเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ได้นำเอกสารไปให้ผู้ต้องหาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา

ผู้เสียหายที่รอพบก็ไม่ได้พบ จึงเข้าพบกับ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งถึงความเดือดร้อนและขอคำแนะนำการคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถาม แจ้งตำรวจหรือไม่ว่า ต้องการคัดค้านการประกันตัว ผู้เสียหายบอก แจ้งตลอด และติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีตลอดมา

ต่อมาตำรวจนัดผู้ต้องหาสองผัวเมีย ให้มารายงานตัวในวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในคดีความผิดดังกล่าว และจะส่งผู้ต้องหาทั้งสองพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ แต่ผู้ต้องหาไม่ไปโรงพัก สภ.ฝาง ได้ส่งเพียงทนายมาเลื่อนการมอบตัวไปเป็นวันอื่น

ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2565 ตำรวจจะออกหมายจับสองผัวเมีย หากไม่มามอบตัวก่อนเที่ยงวัน ของวันที่ 2 กันยายน 2565 แต่ช่วงสายของวันเดียวกัน ผู้ต้องหาสองผัวเมียเดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจได้นำสำนวนและตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งให้สำนักงานอัยการฝาง แล้วปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาเดินทางออกจากสำนักงานอัยการจังหวัดฝางในสายของวันเดียวกันทันที

ผู้สื่อข่าวถามผู้เสียหายว่า ตลอดช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ เพื่อจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนที่โรงพักฝาง และในชั้นอัยการด้วยนั้น ผู้เสียหายบอกว่า ในเช้าวันที่ 2 กันยายน โทรไปหาตำรวจเจ้าของคดีหลายครั้งแต่ไม่รับสายเลย จนกระทั้งตนเดินทางมาที่อัยการจังหวัดฝาง เมื่อเวลา 11.30 น.ก็ทราบว่า ผู้ต้องหาสองผัวเมีย ได้มามอบตัวและเดินทางออกไปประมาณ 20 นาทีก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าไปที่สำนักงานอัยการแล้ว

ผู้สื่อข่าวถาม ผู้เสียหายแจ้งคัดค้านการประกันตัวทำไว้ตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหาย บอกว่า แจ้งเรื่องคัดค้านการประกันตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เพื่อให้ทางสำนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ทราบว่า วงเงินความเสียหายของตน จำนวนมากถึง 206 ล้าน เตรียมเอกสารต่างๆไว้จำนวนมาก พร้อมหนังสือคัดค้านการประกันตัว เพื่อจะขอคัดค้านการประกันตัวไว้ก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า จะต้องรอผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาก่อนถึงจะยื่นหนังสือได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมาไม่ทันในช่วงผู้ต้องหามามอบตัวในชั้นอัยการและไม่พบผู้ต้องหาแล้วนั้น ก็ยื่นหนังสือคำร้องส่งให้ทางสำนักงานอัยการไปตามขั้นตอนแล้ว เพื่อให้ทางอัยการจังหวัดฝางได้ตรวจสำนวนในคดีก่อน ทางเราผู้เสียหายจะรอ จะติดตาม จนกว่าจะส่งฟ้องศาลจังหวัดฝางก็จะคัดค้านการประกันตัวต่อไป

ผู้เสียหาย บอกอีกว่า “ช่วงที่ไปยื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวที่อัยการแล้วไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อัยการคนหนึ่ง บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหามาในลักษณะไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ไม่ฝากขังผู้ต้องหามาก่อนเลย ส่งผู้ต้องหามาในลักษณะ “ทราบนัดมา” เมื่อนำตัวส่งสำนักงานอัยการจังหวัดฝาง ผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องประกันตัวออกไปได้

ผู้สื่อข่าวถาม เป็นห่วงและติดใจอะไรอีกหรือไม่ ผู้เสียหาย บอกว่า ตั้งแต่มีการแจ้งความเอาผิดสองผัวเมียที่หลอกตน ที่แจ้งความไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ก็นานหลายเดือน จนกระทั้งเริ่มเป็นข่าววันที่ 31 สิงหาคม 2565 ก็ติดต่อพนักงานสอบสวนในคดีได้ตลอด ให้ข้อมูลหลักฐาน และประสานเรื่องความคืบหน้าในคดี แต่การดำเนินงานที่เป็นขั้นเป็นตอน ยอมรับว่า มีความละเอียดอ่อน จนบางครั้งไม่เข้าใจว่า บางเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายแบบเรา เสียเงินไปมากถึง 206 ล้านบาท ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพราะเป็นห่วงว่าผู้กระทำความผิดทั้งสองจะเอาทรัพย์สินและเงินทองของเราไปแล้วจะโยกย้ายทรัพย์สินไปที่อื่นนั้น ซึ่งขั้นตอนต่างๆทำได้ไม่ง่ายเลย

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า “เขาฉ้อโกงเงินของเรา เอาเงินเราไปซื้อบ้าน ซื้อรถหรู เที่ยวต่างประเทศครั้งละ 5-6 ล้านบาท เท่าที่ติดตามในเฟซบุ๊ก เขามีความสุข ในขณะที่เราทำงานมาทั้งชีวิต ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขาย เก็บเงินเก็บทองสะสมไว้ เมื่อเขาหลอกเรา เอาเงินเราไป พอมีคดีความ ยังพบปัญหาต่างๆที่มีขั้นตอนและกระบวนการต่างๆที่เราเองก็ไม่เข้าใจ และไม่ทราบมาก่อน เช่น การที่เราแจ้งคัดค้านการประกันตัวมาตั้งแต่ต้น เพราะเงินที่เราเสียหายไปจำนวนมาก ผู้ต้องหาก็สามารถได้ประกันตัวไป แต่เมื่อมาถึงชั้นอัยการ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดหน้าที่ไปแล้ว ต่อไปทางตนและครอบครัว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวที่ส่งให้อัยการจังหวัดฝาง จะช่วยให้เราและครอบครัวมีความหวังมาก ก่อนที่มีการส่งฟ้องต่อศาล”

ผู้เสียหายกล่าวทิ้งท้าย และบอกอีกว่า กรณีของตน ต้องการให้เป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่ถูกหลอกถูกฉ่อโกง ก็ขอให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยจะได้เอาผิดคนที่ตั้งใจมาหลอกเขาทำอย่างไร และยังทราบอีกว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนหลายรายที่ถูกสองผัวเมียคู่นี้หลอกในลักษณะเดียวกัน ซึ่งประวัติของผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังก่อเหตุแบบนี้อยู่.

สาวใหญ่ร้องประธานกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยเหลือลูกชายถูกเรียกค่าไถ่

สาวใหญ่ร้องประธานกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยเหลือลูกชายถูกเรียกค่าไถ่

เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 17 ส.ค.65 ณ จุดรับยื่นหนังสือ ชั้น 1 (โซนกลาง) อาคารรัฐสภา นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานโดยนายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการกรรมาธิการการแรงงาน และ นายปริญา จิตติเจษฎาภรณ์ ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการตำรวจ รับยื่นหนังสือจาก นางสาวบุญเรือน โคตตะ มารดาของนายศักดิ์ อังคะบุตร อายุ 24 ปี ลูกชาย เรื่อง ขอความช่วยเหลือบุตรชายถูกจับตัวที่ประเทศพม่าเพื่อเรียกค่าไถ่เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท

ฤทธิรณ ปัญญากาบ รายงาน

นครราชสีมา – ชาวบ้าน 3หมู่บ้าน ตำบลแก้งสนามนาง อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา เรียกร้องขอทวงคืนงบประมาณ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ถูกตัดงบประมาณไป วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ

นครราชสีมา – ชาวบ้าน 3หมู่บ้าน ตำบลแก้งสนามนาง อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา เรียกร้องขอทวงคืนงบประมาณ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ถูกตัดงบประมาณไป วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ

วันที่ 31 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านศูนย์กลาง หมู่1,บ้านโนนรัง หมู่2,บ้านหนองสะเดา หมู่6 ตำบลแก้งสนามนาง อำแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา ที่ได้รับความเดือดร้อน จากการที่ชุดคณะอนุกรรมาธิการท้องถิ่น และเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เห็นชอบตัดงบประมาณ ได้ออกมาเรียกร้องขอท่วงคืนงบประมาณ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 3,100 เมตร กว้าง 6 เมตร งบประมาณกว่า 9,365,000 บาท ระหว่างถนนบ้านศูนย์กลางเชื่อมต่อไปยังถนนบ้านหนองสะเดา ตำบลแก้งสนามนาง อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อมาบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากในการสัญจรไป-มา และขนถ่ายพืชผลการทางเกษตรออกมาส่งในตัวอำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา
นางเยาวภา ศิริเปรมกุล ตัวแทนชาวบ้าน เล่าว่า ถนนตอนนี้แย่มาก เวลาตนทางไปทำนาก็จะใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ ถ้าเวลาฝนตกจะไม่สามารถใช้ถนนเส้นนี้ได้ เนื่องจากเละกลายเป็นโคนลูกเด็กเล็กแดงไปโรงเรียนลำบากทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงอยากวิงวอนรัฐบาลให้ลงมาช่วยจัดสรรงบประมาณทำถนนให้ด้วย เนื่องจากชาวบ้านรอมานาน 30 ปี ถนนบางจุดก็เกือบจะขาดแล้ว

ด้านนายสราวุธ จรมั่งนอก ประธานสภาอบต.แก้งสนามนาง เปิดเผยว่า จากที่เคยได้งบประมาณสร้างถนน อยู่ดีๆก็ถูกตัดไป ชาวบ้านจึงออกมารวมตัวกันเพื่อจะของบประมาณคืน จึงอยากให้ทางรัฐบาลช่วยตรวจสอบและของบประมาณคืนมา เพื่อสร้างถนนให้กับประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาสะดวก เนื่องจากถนนเส้นทางนี้จะเชื่อมต่อจากอำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ จึงอยากได้งบประมาณที่ถูกตัดไปมาสร้างถนนให้กับประชาชน จึงอยากได้งบประมาณถนนกลับคืนมา
อยากไรก็ตาม ชาวบ้านจึงอยากขอให้คณะกรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ทบทวนและจัดสรรคืนงบประมาณดังกล่าว ที่สำนักงบประมาณ ได้ผ่านความเห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว คืนให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ข่าวนครราชสีมา

ชาวบ้านกว่า 200 หลังคาเรือน บุกร้อง ผวจ.ชลบุรี ไม่มีน้ำประปาใช้มากว่า 30 ปี ต้องซื้อน้ำใช้ทั้งที่อยู่ห่างประปาไม่เท่าไร

ชาวบ้านกว่า 200 หลังคาเรือน บุกร้อง ผวจ.ชลบุรี ไม่มีน้ำประปาใช้มากว่า 30 ปี ต้องซื้อน้ำใช้ทั้งที่อยู่ห่างประปาไม่เท่าไร

จากกรณี ที่มีชาวบ้าน 200 ครัวเรือน ทนเดือดร้อนกว่า 30 ปี ไม่มีน้ำประปาใช้ ทั้งที่อยู่ห่างการประปาไม่กี่กิโลเมตร แต่ไม่เคยได้ใช้น้ำประปากว่า 30 ปี ร้องหน่วยงานแล้วไม่เคยมีใครสนใจ เทศบาลฯ เคยลงมาสำรวจแล้วก็เงียบไป วอนสื่อช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้านด้วย ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านหมู่ 4 ต.หนองปลาไหล อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พบชาวชุมชน SR กว่า 50 คน เป็นตัวแทนกลุ่มชาวบ้านชุมชนดังกล่าว ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่มีระบบน้ำประปาเข้ามาในหมู่บ้านนานกว่า 30 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่มีการประชาคมหมู่บ้านไปแล้วหลายครั้งแต่เงียบหายไปทุกครั้ง ซึ่งหมู่บ้านใกล้ๆ กันมีน้ำประปาใช้ได้แบบปกติ ส่วนพวกตนต้องซื้อน้ำรถ เที่ยวละ 170 บาท มาใช้อย่างต่อเนื่อง
นางสาวไพรินทร์ โพธิ์ศรีจันทร์ อยู่บ้านเลขที่ 143 ม.4 ต.หนองปลาไหล กล่าวว่าตนและพวกชาวบ้านอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ มาหลายสิบปีแล้ว และต้องซื้อน้ำจากรถมาใช้ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เกือบทุกบ้านซึ่งพวกตนเองแปลกใจทั้งๆ ที่อยู่ในเขตเทศบาลตำบลหนองปลาไหล แต่กลับไม่มีประปาใช้ ตอนช่วงเลือก ตั้งทางเทศบาลและสมาชิกสภาจังหวัด ก็รับปากพวกชาวบ้านเป็นอย่างดี ถ้าได้รับเลือกเข้าไปจะเสนอเป็นโครงการเร่งด่วน สุดท้ายก็เงียบหายไป
คืบหน้าวันนี้ 18 ก.ค.65 เวลา 11.00 น. กลุ่มชาวบ้านชาวชุมชน SR กว่า 50 คน เป็นตัวแทนกลุ่มชาวบ้านชุมชนดังกล่าวกว่า 50 คนประมาณ 200 หลังคาเรือน ได้เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดชลบุรีเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนกับ นายทิศนุ ธีระนุกูล ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชลบุรี

จากการสอบถาม นายบุญมี ศรีสุข ตัวแทนชุมชน SR ได้เล่าว่าท่าน ผวจ.ชลบุรี ได้รับเรื่องไว้แล้วและอยากให้ดำเนินการช่วยชาวบ้านด้วย จากนี้คงต้องรอว่าจะดำเนินการได้เมื่อไร จากนี้กลุ่มชาวบ้านก็จะรอใช้น้ำประปา ซึ่งตอนนี้ทางเทศบาลฯ ได้เสนอน้ำให้ใช้ก่อนซึ่งทางชาวบ้าน ได้เคยนำน้ำไปใช้แล้วปรากฏว่าใช้ไม่ได้ เพราะน้ำมีกลิ่นเหม็นเน่าใช้ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายชาวบ้านก็ต้องซื้อน้ำใช้อีกเหมือนเดิม ถึงได้เดือดร้อนกันมากขนาดนี้ตอนนี้ได้แค่รอว่าจะได้ใช้น้ำตอนไหน
ทางด้านนายทิศนุ ธีระนุกูล ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชลบุรี ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว และจะได้รายงานให้ทาง ผวจ.ชลบุรี ทราบและประสานไปยังทางปลัดอวุโส อ.บางละมุง ให้ทราบแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ชาวบ้าน เพื่อให้มีน้ำประปาใช้อย่างรวดเร็วต่อไป

ภาพ/ข่าว นิราช/นันฐพล/พิชญ์ฐญา ทิพย์ศรี
พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์รวมตัวประท้วง เจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาเหมืองแร่

ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์รวมตัวประท้วง
เจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาเหมืองแร่

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.65 เวลา 0900 กลุ่มราษฎรบ้านหัวลา บ้านห้วยมะกอกน้อย หมู่ที่ 4 หย่อมบ้านห้วยตะพาบ ตำบลสันติคีรี และหมู่ที่ 2 บ้านห้วยโป่งน้ำร้อน ตำบลแม่โถ อำเภอแม่ลาน้อย และพื้นที่ใกล้เคียง ต.สันติคีรี อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 100 คน (ไม่ทราบแกนนำ) ได้รวมตัวกันภายในหมู่บ้าน บริเวณทางแยกบ้านหัวลา เพื่อยื่นหนังสือให้กับเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน และตัวแทนกลุ่มสัมปทานเหมืองแร่ ที่เข้ามาในพื้นที่เพื่อจัดทำเวทีประชาพิจารณ์สัมปทานเหมืองแร่ฟลูออไรด์ ของบริษัท ยูนิเวอร์แซลมายนิ่ง จำกัด ซึ่งได้รับจดทะเบียนคำขอประทานบัตรที่ 3/2538 ตั้งอยู่ใน หมู่ที่ 4 ต.สันติคีรี อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งกลุ่มราษฎรฯ หวั่นว่าจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพประชาชนและ สิ่งแวดล้อม

ตลอดจนวิถีชีวิตของคนในชุมชน เนื่องจากการขอสัมปทานดังกล่าวกลุ่มราษฎรในพื้นที่ไม่ทราบข้อมูลใด ๆ เนื่องจากทางอุตสาหกรรมจังหวัด และบริษัทที่ได้รับสัมปทานไม่มีการแจ้งแก่ประชาชน หรือข่าวสารเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการนี้แต่อย่างใด จึงไม่อยากให้มีการเริ่มต้นทำกิจกรรมเหมืองแร่ฟลูออไรด์ ของบริษัทดังกล่าวที่แน่ๆในอนาคตชาวบ้านจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ ชาวบ้านจึงขอเรียกร้องให้ยุติการทำเหมืองแร่ดังกล่าว

เกียรติศักดิ์ รักสัตย์ /เกียรติยศ รักสัตย์ ทิมข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน Cr.ขอบคุณแหล่งข่าวทุกท่าน

มุกดาหาร ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทยติดตามโครงการทุจริตที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.

มุกดาหาร ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทยติดตามโครงการทุจริตที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.

มุกดาหาร/ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 65 ร.ต.ต.สุเทียน ทองโสม ผู้ชำนาญการประจำตัว นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อรองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ทำหน้าที่ประจำศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย จังหวัดมุกดาหาร เข้ายื่นหนังสือติดตามความคืบหน้า กรณีชาวบ้าน ข้าราชการ พนักงาน และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน ว่านายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร ปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่จำนวน 4 โครงการ โดยมีนางสาว กนกวรรณ ฐานผดุง พนักงานธุรการ สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดมุกดาหาร มารับหนังสื่อดังกล่าว โดยโครงการทุจริตดังกล่าวได้ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่ เดือน กรกฎาคม 2564

ร.ต.ต.สุเทียน ทองโสม กล่าวว่า ติดตามความคืบหน้า กรณีชาวบ้าน ข้าราชการ พนักงาน และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร ยื่นเรื่องกรณีผู้รับบริหาร อบจ.มุกดาหาร ได้ดำเนินการตามโครงการขุดลอกห้วย 4 โครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าวจากการลงพื้นที่ร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จังหวัดมุกดาหาร ได้สอบถามรายละเอียดในพื้นที่เกิดเหตุ ก็ได้พูดเป็นเสียงเดียวกัน ผู้รับเหมาที่ทาง อบจ. มุกดาหาร ให้ไปดำเนินการนั้น เข้าไปดำเนินการก่อนที่จะอนุมัติโครงการ และไม่ผ่านประชาคม รวมไปถึงไม่มีเจ้าหน้าที่กองช่าง อบจ. ไปร่วมตรวจควบคุมงานด้วย จึงเห็นว่าโครงการนี้ส่อไปในทางทุจริต ก็เลยมายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ช่วงต้นเดือน กรกฎาคม 2564 มาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ ก็เลยยื่นติดตามเรื่อง เพื่อตอบให้สังคมได้รับรู้รับทราบว่า ขบวนการดำเนินการของ ป.ป.ช. ประจำจังหวัดมุกดาหาร ได้ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว

ร.ต.ต.สุเทียน ทองโสม กล่าวต่ออีกว่า เรื่องที่ 2 อบจ. มุกดาหาร มีการปรับปรุงซ่อมแซมของโรงพยาบาลสนาม เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในโรงพยาบาลสนาม ส่อไปในทางทุจริตหลายรายการ ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุแล้ว ปรากฏว่าพัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เอามาใช้ราคามันแพงกว่าราคาท้องตลาด 2-3 เท่า อีกอย่างคุณภาพก็ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน และเรื่องที่ 3 นายก อบจ.มุกดาหาร ได้นำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ส่วนตัว แล้วเอาไปจอดที่บ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ทางกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศให้ถือปฎิบัติในเรื่องของการนำรถส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว หรือเอาไปใช้ที่บ้าน โดยไม่มีกิจอันสมควร ซึ่งต่อกระทรวงมหาดไทย หนังสือที่ 0808.2/บ ลงวันที่ 22 ม.ค.2562 เรื่องหลักเกณฑ์และการใช้รถยนต์

สำหรับ เรื่องที่ 4 ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ปรากฏว่า ท่าน ผวจ. ได้มีหนังสือสั่งการไปถึงท้องถิ่นจังหวัด ไปถึงนายอำเภอเมือง และถึงนายกเทศมนตรีเมืองมุกดาหาร ในเรื่องของฝ่ายบริหารของเทศบาลเมืองมุกดาหาร ปล่อยให้เอกชนทำรั้วปิดถนนไม่ให้พี่น้องประชาชนในชุมชนตาดแคน 1 , 2 และ 3 ใช้สัญจร ซึ่งถนนตรงนั้นชาวบ้านใช้สัญจรไป-มา ประมาณ 20-30 ปีแล้ว ที่ผ่านมาปล่อยให้เอกชนปิดถนนดังกล่าว ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน และซอยตาดแคน 16/1 ได้นำงบประมาณไปทำถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในพื้นที่ของเอกชน ซึ่งส่อไปในทางทุจริต จึงได้มาติดตามความคืบหน้าทั้ง 4 โครงการ
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว ทาง ป.ป.ช. ประจำจังหวัดมุกดาหาร ดำเนินการรายงานเป็นหนังสือให้ทราบภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ เพื่อใช้ประกอบเป็นข้อมูลรายงาน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการการป้องการ และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ทราบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

รายงานจากมุกดาหาร